Digital Marketing 4.0

Digital Marketing  4.0
กลยุทธ์และ ไอเดียใหม่ เพื่อสร้างความภักดีลูกค้าในยุค Marketing5.0

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Marketing3.0>ROI Marketing3.0

Marketing3.0>ROI Marketing3.0


 แนวคิด ROI Marketing

การวัด ROI-Marketing3.0-Math นั้นคำนวณได้จาก มูลค่าตลอดชีพลูกค้า หักด้วยต้นทุนในการหาลูกค้าเข้ามา ค่าสื่อ ค่าโฆษณา ค่าของแจก ค่าใช้จ่ายต้นทุนทั้งหลาย หารด้วย เงินลงทุนลงไปในที่นี้คือ ต้นทุนในการลงทุนหาลูกค้าเข้ามานั้นแหละครับดังภาพ  ดังนั้นหาก ลูกค้ามาทานอาหารกับเราเดือนละ  3 ครั้ง ครั้งละ 500บาท  ลูกค้าจะมีมูลค่าหัวต่อปี 18,000  บาท ต่อปี   หากทานกับเรา 10 ปี ก็ 180,000บาทต่อปี ยังไม่นับกำลังที่จะบอกต่อ 1: 4อย่างต่ำ   ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้เรา  เกือบ แปดแสนบาทต่อคน  ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะลงทุนสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้  ยอมใช้ต้นทุนที่สูงเพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้าระดับหัวคะแนน  ที่จะมีมูลค่าหัวทั้งในตัวเอง และ แพร่กระจายเป็นนกต่อ ดึงลูกค้าอื่นตามมาด้วย ตามระบบเครือข่ายสังคมออน์ไลน์  ออฟไลน์  แต่เรากำลังจะพูดถึงการสร้างตลาด ผ่านทางออน์ไลน์




ROI Marketing 3.0


จากการพูดคุยกับหลายๆคน พบว่า เรายังใช้ตัววัดผิดๆกับ Social Media Marketing เพราะยังหลงละเริงกับ จำนวน Followers   จำนวนคลิก like หรือจำนวนสาวก ในแฟนเพจ แต่ตัวเลขเหล่านั้นทำให้เกิดรายได้ทางธุรกิจหรือไม่ เป็นลูกค้าตัวจริงเสียงจริงหรือไม่นั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง   ในที่สุดก็มีการถกเถียงก็มีการพูดถึง ROI Marketing การตลาดที่เน้นผลตอบแทน  โดยแนวคิดมีอยู่ว่า  การทำให้เกิด Traffic จากสื่อต่างๆที่เราใช้ ไม่ว่าเป็น Organic  Search  หรือ จากหน้าโฆษณา Adwords หรือ Facebook Ad   หรือมาจากการใส่ backlink เข้าไปใน Post ของเราในสื่อ Social Media      ส่งอีเมล์  หรือ SMS  เป้าหมายของเราคือ ทำให้ทุกๆ Traffic หรือกลุ่มลูกค้าคาดหวังของเราวิ่งเข้ามาสู่ลงหน้า Landing Page ในเว็บเรา ซึ่งหน้านี้เป็นหน้ารองรับลูกค้าที่สนใจ  ในหน้านี้เหมือนเป็นหน้าโฆษณาล่อใจลูกค้า ให้โต้ตอบกับเรายอมให้ชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทร-อีเมล์  ไว้กับเราเพื่อแลกกับสิ่งจูงใจ เช่น ตัวอย่างของฟรี   เข้าร่วมประกวดถ่ายภาพ หรือ ได้รับเอกสารแนะนำ Ebook  ฟรี  สติกเกอร์ฟรี    คะแนนสะสมฟรี  นั้นคือยอมกรอกข้อมูลให้รายละเอียดส่วนตัวกับเรา   จากการสร้างความสัมพันธ์ CRM กับลูกค้าที่กรอกข้อมูลเป็นฐานข้อมูลผู้สนใจไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่ทำให้ลูกค้ายอมพูดคุยกับพนักงานขาย ผ่านการ chat Skype   line whatsapp  ทางโทรศัพท์  หรือพบตัว  จนเกิดการซื้อ อันนี้เรียก pipeline management   หลังซื้อแล้วลูกค้าจะซื้อซ้ำจนเป็นยอดซื้อตลอดชีพ  lifetime value ว่ากันไปจนตายเลยนะ และที่ว่ามานี้ดูได้จาก ขบวนการ ROI marketig3.0 ดังภาพ    


 ดังนั้น การจะวิเคราะห์จะมี 3 ขั้น1)ที่มาที่ไปของลูกค้าว่ามาจากช่องทางสื่อใดจำนวนเท่าใดที่วิ่งเข้ามาในเว็บเราด้วย Google Analytic 2) จำนวน leads ที่ยอมกรอกฟอร์มให้ข้อมูลมาจากสื่อช่องทางใด จำนวนเท่าใด 3) leads นั้นกลายมาเป็นยอดขายได้เท่าใด Conversion ratio และช่องทางสื่อใดแรงที่สุด อันนี้เป็นคำตอบสุดท้ายของนักการตลาดที่หวังสร้าง CRM และ Loyalty กับลูกค้าคือ ลูกค้ามีมูลค่าตลอดชีพไหม มีเท่าใด เช่น เด็กทารกใช้ผ้าอ้อม24 เดือน เดือนละกี่แพ็ค แม่หนึ่งคนมีบุตรเฉลี่ย 2 คน มูลค่าตลอดชีพแม่ 48 เดือนของการใช้ผ้าอ้อมเด็ก เป็นต้น  
 ไว้พบกันฉบับหน้าครับ  หากสนใจ DVD ชุด CRM & Loyalty Marketing 3.0  เนื้อหา 6 ชั่วโมงเต็ม พร้อมคู่มือ ต้นฉบับ  ดูได้จาก ลิงก์ นี้ครับ   CRM & Loyalty Marketing 3.0 

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Logistics Management> Wholesale Management

การบริหารธุรกิจค้าส่งของคนไทย



การบริหารค้าส่งของคนไทยแยกเป็น 3 ค้า คือ การบริหารค้าเข้า  การบริหารค้าออก  และการบริหารคลังสินค้า

การบริหารค้าเข้า  

คือการบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์  โดยเฉพาะซัพพลายเออร์รายหลักๆ  เพื่อบริหารการสั่งซื้อสินค้าให้ ตรงตามความต้องการของลูกค้า ทั้งด้าน ปริมาณ ชนิด คุณภาพ และเวลาที่ถูกต้อง   การบริหารซัพพลายเออร์ นั้น  ซัพพลายเออร์จะมีงบประมาณให้ค้าส่ง ในแง่  โควต้ายอดซื้อ  เครดิต   กำไรที่ให้   งบส่งเสริมการขาย ซึ่งมักกำหนดเป็นรายปี


การบริหารสินค้าและสต๊อคคงคลัง 

โดยจะต้องมีการจัดเกรดสินค้าที่มีอยู่ในมือค้าส่ง   จุดมีอยู่ว่าจะสั่งซื้อสินค้ามาแล้วขายออกเลย ค้างสต๊อคในโกดัง ให้น้อยที่สุด หรือสินค้าคงค้างในโกดังให้ต่ำสุด ดังนั้นอาจมีการสั่งบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น แต่ไม่สั่งเป็นปริมาณมากๆไปตุนเก็บกักไว้  ยกเว้นสินค้าบางประเภทเช่น น้ำมันพืช  น้ำตาล น้ำอัดลมบางยี่ห้อ  เบียร์ในช่วงฤดูกาล  การบริหารสินค้าคงคลังนั้นจะต้องลดความสูญเสีย ให้ได้คือ สูญเสียโอกาสการขายจากสินค้าขาดมือ  และ การสูญเสีย เนื่องจากการสต๊อคของมากเกินความจำเป็นเปลืองพื้นที่เก็บและดอกเบี้ยที่จมไปกับสต๊อค แทนที่จะเอาเงินนั้นไปหมุนเวียนในกิจการ  โดยมีการกำหนด  รอบการหมุนสินค้ากี่รอบInventory Turn over  ซึ่งคำนวณจาก (ยอดขายในราคาต้นทุน) หารด้วย (สินค้าคงคลัง โดยเฉลี่ยทั้งปี ณ สิ้นเดือน 13 รอบ) หากรอบหมุนมากคือก็ต้องสั่งบ่อยและถี่ขึ้น  และมีรอบการเก็บคุมการขายได้กี่วัน  เช่น 45 -60 วัน หมายถึงสต๊อคสามารถขายต่อเนื่องได้ 45-60 วันหากไม่สั่งซื้อเพิ่ม    สินค้าที่เคลื่อนไหวในสินค้าคงคลังนั้น มักจะมากจาก ซัพพลายเออร์รายหลัก ดังนั้น ค้าส่งต้องทำการจับคู่ระหว่างสินค้า กับซัพพลายเออร์ที่ตนสั่งสินค้าเข้ามาให้ได้  เป็นกลุ่ม TOP Best  Hot มีประมาณ 1 ใน 3 ของ SKUs  



การบริหารค้าออก

เป็นการบริหารลูกข่ายร้านค้า ซาปั๊ว และร้านค้า โชห่วย ที่มาซื้อสินค้าจากค้าส่ง ซึ่งค้าส่งจะต้องไม่ขายแค่สินค้า แต่ต้องให้บริการจัดส่ง ขนของขึ้นรถ  บริการการจัดหน้าร้าน  การบริหารสมาชิกร้านค้า สะสมยอดซื้อ   การช่วยตั้งราคาและเป็นพี่เลี้ยงให้ร้านค้า เครือข่ายจริงๆ  ลงโปรแกรม บาร์โค๊ต EPOS ที่สามารถตรวจนับสินค้าขายหน้าร้านได้ พร้อมกับ ให้ร้านค้าปลีกบริหารพื้นที่ขาย  การเก็บสต๊อคสินค้า ให้ตรงกับการขาย ขายดีก็เก็บมากมีพื้นที่ขายมาก  การสั่งซื้อสินค้าเข้าเป็นระบบเติมเต็มสินค้าที่ขายออกไป หรือเป็นการสั่งซื้อที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ท้องถิ่นแต่ละที่ให้มากที่สุด  เมื่อรวมความต้องการซื้อของร้านเครือข่ายมารวมกันร้านค้าส่งก็จะสั่งตามที่ลูกค้าต้องการ จริง ไม่สั่งมากหรือน้อยเกินไป บรรจุให้พอดี การบริหารค้าออกเป็นเรื่องการบริหารสินค้า และ ลูกค้าร้านค้าเครือข่ายไปพร้อมๆกัน ให้ตรงกับความต้องการพื้นที่ ทั้งนี้ต้องมีการกำหนดราคา เป็น ลัง เป็นแพ็ค  เป็นปลีก  ทั้งนี้ค้าส่งจะต้องพลิกผันตัวเองจากแค่ขายสินค้าเป็นขายความสำเร็จของธุรกิจค้าให้กับร้านค้าเครือข่าย  ด้วยการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าเครือข่าย  รู้ Profile การสั่งซื้อของลูกค้า 

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Brand Experience Marketing 3.0

Marketing3.0 > Brand Experience Marketing ภาค จบ

Total Brand Experience ตอนที่นี้  จะพูดถึง Brand Experience Process จุดที่ลูกค้าได้สัมผัส ตามขบวนการตัดสินใจซื้อ   

Brand Experience Process



1)ก่อนการซื้อ ลูกค้าได้สัมผัสกับแบรนด์ก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าผ่าน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ เข้าร่วม อีเวนท์ กิจกรรมออนไลน์ จนเกิดประสบการณ์เชิงบวก หรือชอบใจ เกิดความรู้สึกดีๆที่มีต่อแบรนด์ทำนอง       พบปุ๊บรักปั้บทันทีสำหรับผลิตภัณฑ์consumer products หรือ ต้องคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลแล้วชอบแบรนด์ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงใช้เวลาในการตัดสินใจนาน ตัวอย่างเช่น รถยนต์ คนเห็นรูปลักษณ์ แล้วใจชอบจากสื่อทีวี Feel จากนั้นพยายามไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ภายในห้องผู้โดยสาร ในสื่อ อินเทอร์เน็ต หรือสิ่งพิมพ์เพื่อไตร่ตรอง Think เมื่อของเข้าตัวไปแวะทีโชว์รูม ก็จะเข้าสู่ขบวนการสอง
2) ขณะซื้อ ร้านค้า โครงการบ้าน ก็จะได้สัมผัส ผ่านอายตนะทั้ง ห้า Sense ได้ทดสอบ ทดลองขับ ทดลองชมบ้านตัวอย่าง ทดลองชิม ทดลองสวมใส่ บรรยากาศณจุดขาย สื่อณจุดขาย พนักงานหน้าร้าน ประสบการณ์ตรงจากการสัมผัส ณจุดขาย จนเกิดAct ในรูปแบบจอง ซื้อ หากประสบการณ์ที่ได้รับณจุดขาย ตรงใจ ตรงกับที่วาดฝันไว้เป็นผลที่ได้จากการบริโภคสื่อไป ตอกย้ำความมั่นใจลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อ 3)หลังซื้อไปแล้ว ลูกค้ามักจะหาความมั่นใจต่อ ว่าตัดสินใจถูกต้อง จากการได้รับคำชมของเพื่อนๆ หรือแบรนด์มีการระดมพล ผู้ซื้อมาตอกย้ำ ความมั่นใจ ผ่าน กิจกรรมหลังการขายสำหรับสมาชิกCRM เช่น สอบถามความพอใจ การให้บริการหลังการขาย กิจกรรม Thank you Party Family Party หรือ กิจกรรมประกวด ท่องเที่ยวร่วมกันทำดีเพื่อสังคมร่วมกัน CSR เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ Relate และชุมชน สาวก หรือลัทธิ ของรวมพลคนรักแบรนด์ ตามแนวคิดของ Bernd H. Schmitt

Brand Experience Objective & Marketing Tools


             Brand Experience สร้างแบรนด์ด้วยประสบการณ์ นั้นมีขั้นตอนสร้าง ประสบการณ์(รู้ คิด รับ ทำ ร่วม  ก่อลัทธิ ) และ เป้าหมายทางการตลาดในแต่ละขั้น นั้น มีแตกต่างกันและใช้เครื่องมือตลาดต่างกัน
1)ก่อนการซื้อ   เริ่มจากการทำให้ รู้จักรู้สึกชอบ Feel + คิด Think ซึ่งสองขั้นแรกเป็นวงจรก่อนการซื้อลูกค้า เป้าการตลาดคือทำให้รู้จักAwareness กับ Associate ทำให้คิดถึงแบรนด์ด้วยคำคำหนึ่ง เช่น เบนซ์ เท่ากับหรูหรา ทองต้องเยาวราช   เครื่องมือคือการสร้างอัตลักษณ์แบรนด์   และจุดยืนของแบรนด์Positioning   แล้วทำการสื่อสารออกไป สู่ตลาดผ่าน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ การสื่อสารการตลาด หรือให้ตลาดค้นหาเจอะเร็วที่สุดผ่าน เว็บSearch Marketing  โซเชียบมีเดียเช่น เฟสบุ๊ค  บล็อค  
2)ขณะตัดสินใจซื้อนั้น เป็น ขั้นตอนสาม+สี่คือณจุดขาย รับ Sense ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ใช้กลิ่นตะไคร์ในสปา ใช้กลิ่นกาแฟเตะจมูก การโชว์ VMD การได้ทดสอบสัมผัส ชิม เพื่อยืนยันในสิ่งที่ลูกค้าเชื่อ เป้าหมายทางตลาดคือให้ลูกค้าชอบและมีส่วนร่วม + ทำ Actเช่น การจองหรือซื้อ ซึ่งเป้าทางการตลาดคือทำให้เป็นยอดขาย   เครื่องมือที่ใช้มี  ทั้งหน้าร้าน และ ออน์ไลน์  รวมถึงเครื่องมือเชื่อมหน้าร้าน Location กับออน์ไลน์  Location Based Marketing      Augmented Reality     QR code   Mocial Marketing ผ่านมือถือ
3) หลังซื้อ  ขั้นตอน ห้า+หกคือ ร่วม Relate เป็นส่วนหนึ่งกับแบรนด์มีความสัมพันธ์ที่กระชับกับแบรนด์ + ลัทธิ Community คือเป็นชุมชนที่มีความเชื่อในสิ่งเดียวกันคือแบรนด์ ใช้ชีวิตในแบบฉบับคล้ายๆกัน เช่นฮาเล่ย มีชุมชนคนขับ ฮาเล่ย รวมตัวกันไปท่องเที่ยวเป็นขบวน เครื่องมือการตลาดที่จะใช้แต่ละขั้นก็ต่างกันไป สร้างการรู้จักให้เร็วต้องออกแบบ อัตลักษณ์แบรนด์ให้โดนใจ การให้คนคิดและจำจุดเด่นแบรนด์ใช้ต้องใช้ การสื่อสารการตลาดทั้ง ออน์ไลน์ ออฟไลน์ เมื่อลูกค้าสนใจจนถูกดึงดูดมาหน้าร้าน ณจุดขาย สื่อการตกแต่งวัสดุณจุดขาย POP POS การจัดโชว์สินค้าและตกแต่งหน้าร้าน VMD จัดอีเวนท์ หน้าร้าน ส่วนการเร่งการขายผ่านเครื่องมือ โปรโมชั่นและใช้พนักงานขาย ส่วนขั้นตอนประสบการณ์หลังขายคือ การทำให้เกิดความภักดี ด้วย CRM CEM และทำให้เกิดลัทธิด้วยเครื่องมือการตลาด 3.0ดังภาพ
เป็นอันจบบริบรูณ์สำหรับ  การสร้างแบรนด์ด้วยประสบการณ์ ในยุค การตลาด 3.0 ครับ ไว้พบกันฉบับหน้าครับ   

Brand Experience Marketing3.0

Marketing 3.0 > Brand Experience Marketing


ฉบับนี้ ว่าด้วยเรื่องการสร้างแบรนด์ด้วยประสบการณ์ครับ โดยจะเกรินถึงแนวคิด และการนำไปใช้ในยุคการตลาด3.0 
Total Brand Experience คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์สู่ผู้บริโภคหรือลูกค้า  การสร้างแบรนด์คงมีได้แค่หมายถึงสร้างภาพ ให้คนจดจำอัตลักษณ์ แบรนด์ สโลแกน และใฝ่ฝันอยากได้แบรนด์ ที่เรียกว่าของเข้าตัวอย่างเดียว ยังหมายถึง ทุกจุดสัมผัสระหว่างแบรนด์กับลูกค้าตั้งแต่ ก่อนการซื้อ  Experiential Marketing ผ่านโฆษณา  ประชาสัมพันธ์  อีเวนท์   สื่อออน์ไลน์    จนถึงขณะซื้อ ที่ผ่าน  อายตนะ หรือสัมผัสทั้ง 5  5 Sense Marketing ณจุดขาย Offline คือหน้าร้าน และ Online คือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์     และเมื่อเกิดการซื้อขายจริงแล้ว ขบวนการสร้างและบริหารความสัมพันธ์และประสบการณ์ เพื่อให้เกิดกระแสความภักดี และชุมชนคนรักแบรนด์  ดังภาพ  การสร้างแบรนด์จึงมิได้หมายแค่  Rebranding ด้วยแค่เปลี่ยนชื่อ สีสัน  โลโก้  และ สโลแกน Tag line ที่ไปกับแบรนด์  และ การสื่อสารผ่านสื่อเท่านั้น แต่เป็นตลอดขบวนการซื้อหรือตัดสินใจจนเป็นวงจรกลับมาซื้อใหม่ด้วยการเสริมตอกย้ำประสบการณ์เชิงบวกทุกจุดสัมผัสระหว่างแบรนด์กับลูกค้า กระชับความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าแน่นแฟ้น จนเป็นสาวก และลัทธิ  ดังนักการตลาดคนอังกฤษชื่อ  John Gatt เคยกล่าวเรื่องแบรนด์ได้สะใจผมมากๆว่า   Brand is the innovative Idea that Customers Live by   นวัตกรรมความคิดแปลกใหม่ที่ทำให้ลูกค้าอยู่กับมัน อยู่ได้ด้วยมัน นั้นคือความหมายของแบรนด์ที่แท้จริงครับ
ในยุค3.0 นั้น ความแตกต่างของการสร้างประสบการณ์แบรนด์คือ ผู้บริโภคจะมีส่วนร่วมมากขึ้น  ในการเข้าร่วม ทั้งผ่าน  Crowd Sourcing  ไม่ว่าจะมาช่วย ให้ความคิดเห็น  ช่วยออกแบบ  มาร่วมประกวดแข่งขัน  มาช่วยวิจารณ์ให้คะแนน  ซึ่งประสบการณ์แบรด์ 
1)ก่อนขายนั้น   ไม่ใช้่เป็นแบบ  Campaign  เหมือนครั้งก่อนกรุงศรีอยุธยา  ที่การตลาดจะเน้นเป็นแคมเปญ หรือเป็นจรวดมิซซายด์  ยิงออกไป เป็นรอบๆ  แต่จะเป็นแบบ   Real-time และต่อเนื่อง ผ่านทุกแผนกของบริษัท   พนักงานขายทุกคน  พนักงานบริการ    Hotline ตอบสายด่วน  
2)ขณะขายนั้น   ประสบการณ์ เกิดจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ผ่านทั้ง Offline   Online คือ   E commerce  Mcommerce  Location Based Marketing   เช่นลูกค้าไปทดลองผลิตภัณฑ์ที่ หน้าร้าน ห้างฯ   แต่เช็คข้อมูลว่า ห้างฯไหนจัดรายการและขายถูกที่สุด เพราะลูกค้าไม่อยากโง่จ่ายแพงกว่าทำไม     การเช็คข้อมูลจะเช็คผ่านมือถือขณะช็อปดูของอยู่ก็ได้    กด QR code เข้าดู  หรือ ผ่าน Check-in Apps ที่จะบอกว่าทางร้านมีจัดรายการหรือไม่   สต๊อคมีที่สาขาไหน   ดูข้อมูลวิพากวิจารณ์ลูกค้ารายอื่นๆ ใน Facebook    แม้ขณะทานอาหารในร้านลูกค้าก็จะเข้า Foursquare ว่ามีใครแนะนำเมนูเด่นตัวไหนกันบ้าง  วิจารณ์การให้บริการทางร้านทันที Real time   บางร้านก็ออน์ เฟสบุ๊คให้พนักงานในร้านรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ปรับปรุงการให้บริการแบบ  Real-time  ตามกันไปเลย
3)  หลังการขาย  เริ่มจากบริการ มี ให้ Download คู่มือใช้งาน   หรือ ดู วิดีโอใช้งาน ใน  Youtube  ส่งอีเมล์ขอบคุณลูกค้า และ ขอ Add Friend กับลูกค้าที่พึ่งซื้อของไป  เป็นการเริ่มระบบ CRM     เชิญลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม   ประกวด แข่งขันต่างๆ  เช่น ประกวดแข่งสุนัข   ประกวดถ่ายภาพ   ประกวดส่งคำขวัญ  ออกแบบ    ประกวดแข่ง X game   พาลูกค้ามาทำกิจกรรม Thankyou Party     Happy birthday Party      เชิญลูกค้าเอาผลิตภัณฑ์เข้ามาเช็คสภาพ หรือมารับบริการ       
         สรุป คือ การตลาดจะเปลี่ยนจาก Campaign เป็น Realtime และผ่านทุกช่องทางสื่อสาร ไปยังทุกแผนกของบริษัท   ลูกค้าจะตรวจสอบย้อนกลับ โฆษณา และ การสื่อสารบริษัท กับเพื่อนๆ  กลุ่มสังคมเพื่อน จากพนักงานขาย  พนักงานบริการ   ลูกค้าจะใช้มือถือมากขึ้น และ เป็นระบบ  Multi-screen ใช้หลายๆเครื่องมือ   ทีวี   คอมฯ   มือถือ  Tablet   หน้าร้าน    พร้อม แชร์ ตำแหน่ง ข้อมูล และคำวิพากษ์ ซึ่งกันและกัน  การตลาดไม่ใช่เป็นเรื่องสื่อออกไปโดยนักการตลาดในเวลาที่นักการตลาดสะดวก   การตลาดเป็นเรื่องการจัดทำฐานข้อมูลแบรนด์แล้วให้ลูกค้าเข้าค้นพบ Active Search    ดังนั้นการตลาดจะเปลี่ยนจาก  Outbound Marketing   เป็น  Inbound  Marketing มากขึ้น 

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Marketing3.0>Marketing3.0-secret

Marketing 3.0> ความลับการตลาดยุค 3.0

3C  คือจุดเริ่มต้นของยุค 3.0 

ก่อนจะเข้าสู่ความลับการตลาด ยุค3.0 จะขอสรุป ว่า การตลาดยุค1.0 เน้นการสร้างภาพที่สมองลูกค้าให้จดจำ Head ยุค2.1 จะเน้นการสร้างยอด โดยให้ลูกค้าเกิดการกระทำ ที่มือ Hand ภาษาอีสานเรียกว่า เฮ็ด ยุค2.2 จะเน้นการสร้างสัมพันธ์ ให้ลูกค้ารักเกิดที่ใจที่เรียกว่า Heart 3 สร้างคือหัวใจสำคัญของบทเรียนการตลาดยุค1 -2 แต่ในยุค 3.0 จะเกิดการสร้างลัทธิ ที่เรียก Human Spirit  ทั้งนี้เกิดจากเครือข่ายธุรกิจมารวมกันเพื่อตอบสนอง เครือข่ายลูกค้า ที่มีหัวหน้าหรือผู้นำความคิดเป็นตัวนำ  จาก Communications การสื่อสารทำให้เกิด Community หรือชุมชน ชุมชนทำให้เกิด Commerceหรือการแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน


3P คือปลายทางของยุค 3.0  

ว่าด้วยความลับ การตลาดยุค 3.0 #Marketing-Secret3.0 เป็นการต่อยอดยุค2.2 หรือการสร้างลัทธิ โดยการรวมกลุ่มเครือข่ายลูกค้า ระดมพลได้ ซึ่งการสร้างเครือข่ายสังคมลูกค้า มีตัวล่อ P2P Peer-to-Peer เพื่อนปลุกระดมเพื่อน ให้เกิดกระแสสังคม ที่มุ่งการจูงใจ 3ตัวคือ 3P ตัวแรกคือ People หรือทำเพื่อสังคม ล่อลูกค้าว่าทำดีเพื่อสังคม จึงเกิดกระแส CSR บริษัทเพื่อสังคม Good Governance ธรรมาภิบาล ช่วยสังคมหรือชุมชน อย่าง BodyShop Starbuck ที่นำเงินไปช่วยเหลือประเทศยากจน ผู้ด้อยโอกาส บางจาก เพื่อช่วยชาวนา หรือเกษตรกรนำผลิตผลเกษตรมาให้ลูกค้าที่เติมน้ำมันครบ ตัวล่อตัวที่สองคือ Planet ทำเพื่อรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งค่ายยุโรปหยิบยกมากีดกันการค้า เช่น Green Marketing Carbon Credit Carbon Footprint เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม อย่าง ปตท. ปูนซิเมนต์นครหลวง ตัวล่อตัวที่สามคือ Profit หรือผลประโยชน์ ที่พวก MLM มักใช้ล่อใจ ลูกข่าย หรือ ล่อให้คนถ่ายภาพประกวดเพื่อหวังเป็น นายแบบ นางแบบหรือหวังดังแบบ ณเดช ญาญ่า โดยให้คนมาคลิกถูกใจ ตัวเร่งเร้าคือกระแสเครือข่ายสังคมที่มารวมตัวกันเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะทางออน์ไลน์ Social Network

 กระแส ออน์ไลน์เติมเชื้อไฟให้ยุค3.0

ที่พบว่า 1 ใน 3 ของคนไทยเข้าอินเทอร์เน็ต 1 ใน 4คนไทยมี Facebook 80% คนไทยมีมือถือ และ 12 ล้านคนไทยที่มีมือถือที่เข้าเน็ตได้ในจำนวนนี้ มือถือเล่นเครื่อข่ายสังคมออน์ไลน์ 4ล้านคน และเล่น QR codeและยอมแชร์พิกัดตนเองประมาณ 1/4 หรือประมาณ และ 1 ล้านคนไทยที่มี Location Based อย่าง Foursquare QR code โดยยอมแชร์ พิกัดที่ตัวเองอยู่ สูตรลับการตลาดคือการสร้างกระแสสังคม ทั้ง ออฟไลน์ ออน์ไลน์ บางที่เราจะได้ยิน Mocial Marketing ก็คือการทำตลาดมือถือที่อยู่ในสังคมออน์ไลน์ ที่มีประมาณ 4  ล้านคนครับ
       ส่วนการใช้ Total Marketing ทำให้ลูกค้าหาเราพบในโลกออน์ไลน์ อย่างง่ายๆ และเมื่อพบแล้วต้องสมัครเป็นเพื่อน หรือ คลิกถูกใจ หรือมาเป็นสาวก แบรนด์ ด้วยการจูงใจ 3 P ดังกล่าว และอาศัยกระแส P2P เพื่อนลากกลุ่มเพื่อนมา Jam เป็นปฏิกริยาลูกโซ่ ลองนึกว่าหากบริษัทเรามี ฑูต ที่อาจเป็นพนักงานเรา บริษัท PR นักข่าว ผู้นำความคิดกลุ่ม แต่ละคนมีเครือข่าย เพื่อนและ สาวก 10,000 คน เรามี สัก 100 คน ก็จุดกระแสได้ เป็น ล้านคน หากเพื่อนเราใน เครือข่ายสังคม และ แฟนเพจ มีเพื่อนและ สาวกมากๆ ก็สามารถปลุกระดม รวมพล ให้เกิดกระแส ลัทธิได้ ดังนั้นในยุค 3.0 มิใช่เก็บกดพนักงานไม่ให้ใช้เน็ตเล่น Facebook แต่ต้องส่งเสริมพนักงานให้มีเพื่อนมากๆ สาวกมากๆ เป็น Blogger เขียนบทความเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์และแบรนด์เราเยอะ ส่งเสริมให้พวกเข้าเป็นหัวคะแนน และมี หัวคะแนนที่มีคุณภาพ จำนวนที่มากพอในการจุดกระแส สร้างลัทธิได้ ผมส่งสารบริษัทที่มองแต่แง่ควบคุม กลัวพนักงานจะหลงระเริง แต่นั้นเป็นเพราะเราไม่สามารถสร้างลัทธิในบริษัทได้ พนักงานเลยขาดศรัทธา และไม่มีส่วนรวมกับบริษัทหรือแบรนด์ ที่พวกเขาทำงานหาเลี้ยงชีพของเขาอยู่ ดูอย่าง IBM พนักงานแต่ละคนมีเครือข่ายสังคม มีเพื่อน มีสาวกที่ติดตาม และเป็น Blogger เขียนให้ความรู้เชียร์ผลิตภัณฑ์ ภายในนโยบายที่ IBM กำหนดกรอบกว้างๆไว้ นี่คือฑูตของแบรนด์ IBM อย่างแท้จริง  พบว่าธุรกิจ เล็ก กลางนั้น 42%มี facebook
และได้ลูกค้าจาก เว็บไซด์ 24%  จาก facebook 19%   LinkedIn12%  และ    Google+ 10%
  Twitter 5%  หากใครไม่ใช้ เครือข่ายสังคมออน์ไลน์ ก็น่าเสียดายนะครับ



วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Logistics > Retail management

การบริหารร้านค้าปลีกไทย อย่างไร ให้ทำกำไรได้


 การบริหารร้านค้าปลีกไทย หรือ โชห่วย  สามารถแข่งขันกับ ร้านค้าปลีกทันสมัยได้ แน่นอน หากมีการบริหารจัดการที่ดี   4  ประการ คือ  หน้าร้านน่ามอง  ของไม่บาน บริการดุจญาติมิตร และ พิชิตใจลูกค้า


การบริหารร้านค้าปลีก โชห่วยไทยตอนที่ 1 

กลยุทธ์การปรับตัวของร้านค้าปลีกไทย  ประการแรกต้องไม่ถอดใจ แม้คู่แข่งมาใกล้  ร้านค้าปลีกในแต่ละจังหวัดมี 3,000-6,000 ราย  ทั่วประเทศเป็น  3-4 แสนราย   ปรับหน้าร้านน่ามอง  สะอาด  สว่าง สะดวก  ต่อผู้ซื้อที่จะหยิบ หรือซื้อ  การจัดหน้าร้านให้น่ามองเป็นหัวใจในการเรียกลูกค้าเข้าร้าน



 

กลยุทธ์บริหาร ร้านค้าปลีก โชห่วย ไทย ตอนที่ 2

ของไม่บาน  คือการเลือกสินค้า ที่ขายดี หรือขายได้มาเข้าร้าน และจัดวางในตำแหน่งที่เห็นง่าย หยิบสะดวก และให้พื้นที่การขายมาก   ส่วนสินค้าขาย ไม่ดีอย่าเอาเข้าร้านหรือให้น้อยที่สุด อย่าเก็บสต๊อคนาน   ให้พื้นที่ขายน้อย    การบริหารจัดการพื้นที่ขายหน้าร้านตามความเร็วในการขายดี  ขายมากให้พื้นที่มาก ขายน้อยให้พื้นที่น้อย ดังนั้นต้องวิเคราะห์การขาย ดูตัวเลขขายจาก เครื่องยิง บาร์โค๊ต  แยกกลุ่มสินค้า ของกิน และเครื่องดื่มแช่ เครื่องดื่มชง   ของใช้ในครัว    ของใช้ในบ้าน ของใช้ส่วนตัว    และสินค้าที่ขายด้วยกันให้อยู่ใกล้กัน




กลยุทธ์ บริหารร้านค้าปลีก โชห่วย ไทย ตอนที่  3

การบริหารสัดส่วน ซื้อเข้า สต๊อค พื้นที่ขายหน้าร้าน จะพิจารณาตามอัตราการขายเร็วของสินค้าจะวางสินค้าในตำแน่งใดในร้าน ต้องพิจารณา   สินค้าที่ซื้อโดยเผยใจ   ซื้อโดยความเร่งด่วน  และ ซื้อโดยไตร่ตรองไว้ก่อนล่วงหน้า    พร้อมการให้บริการดุจญาติมิตร แนะนำสินค้า   ส่งของ ขนของให้    



กลยุทธ์ บริหาร ร้านค้าปลีก โชห่วยไทย ตอน จบ

การบริหารลูกค้า  ที่เรียก พิชิตใจลูกค้า หาลูกค้าประจำ ให้ได้    พบจุดคุ้มทุนของร้านค้าปลีก ต้องมีลูกค้าขาประจำเท่าไร   ทำอย่างไรจะผูกใจเข้าได้  ผูกขาประจำให้ได้ มีรายได้ประจำแน่นอน  พบกลยุทธ์ พิชิตใจลูกค้าได้ ในวิดีโอ 






วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

AEC Business> Logistics

โลจิสติกส์ Logistics จุดชี้เป็นตายธุรกิจ ในยุค AEC
ต้นทุนการขนส่ง เก็บรักษาสินค้าของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับสิงค์โปร์  ทำให้ลดขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย  ดังนั้น การบริหารโลจิสติกส์ทำให้ลดต้นทุน ลดสต๊อคจม มีเงินเหลือนำไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมขยายธุรกิจ ชมวิดีโอ ความรู้ในการบริหารจัดการโลจิสติกส์

ตอนที่ 1   ไทยในฐานะ ศูนย์กลาง โลจิสติกส์ของอินโดจีน  

พิษณุโลกเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ของไทย   ขอนแก่น เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์อีสาน ทั้งศูนย์กระจายสินค้า  จุดถ่ายเปลี่ยนสินค้าแบบ Multi-mode เชื่อมโยง การขนส่ง รถไฟ  บรรทุก และทางน้ำ ทางอากาศ



ตอนที่ 2  การฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจ จาก ยุทธศาสตร์ โลจิสติกส์ ภาครัฐ

     โลจิสติกส์  ประกอบด้วย การนำเข้า Inbound  เก็บรักษา Storage  ส่งออก Outbound Logistics   โดยโลจิสติกส์ที่ทันสมัยจะทำ Optimization  พื้นที่เก็บคลังสินค้า  พื้นที่ขนส่งบนรถบรรทุก   เส้นทางการเดินรถจากต้นทางไปปลายทาง   ลดการสูญเสียโอกาสการขายจากของขาด และ ลดการสูญเสียจากการเปลืองพื้นที่จัดเก็บ และขนส่งจากสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว ต้นทุนจม



ตอนที่ 3  การบริหารโลจิสติกส์ เพื่อลดการสูญเสีย

การบริหารโดยขบวนการย้อนกลับ ดูอุปสงค์ความต้องการสินค้าในแต่ละพื้นที่  และค่อยรวมคำสั่งซื้อ โดย DC และ เติมเต็มสินค้าใน Pipeline  จาก ผู้ผลิต มา DC  กลาง  DC ภูมิภาค บนพาหนะขนส่ง  สต๊อคหลังร้าน  สต๊อคหน้าร้าน    Optimization Area,  Time and  Cost of Logistics


วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Marketing3.0 > Marketing Secret 2.2

Marketing3.0 > สูตรลับการตลาดยุค 2.2

ตอนที่แล้วได้พูดถึง สูตรลับการตลาดยุค 2.1 ที่เน้นสร้างยอดไปแล้ว ในฉบับนี้จะเปิดเผบความลับของการตลาดยุค 2.2 Marketing-secret2.2 ในขณะที่การตลาดได้เน้นการทำยอขายในยุค 2.1 แต่ก็มีนักการตลาดที่ต้องการยอขายต่อเนื่องจากลูกค้ารายเดียวันไปเรื่อยๆ ที่เรียกว่า ลูกค้าที่ภักดี หรือแฟนพันธุ์แท้ พบว่าลูกค้าที่ภักดีมักจะมาบ่อ มาซื้อมากๆ หรือมีความสัมพันธ์กับแบรนด์เรมานาน ในยุค2.2 จึงเน้นการสร้างสัมพันธ์หรือผูใจลูกค้าให้กลับมาหาอีก ทีเรียกว่า CRM Customer Relationship Management ึ่งเน้นการสร้างความภักดี กับลูกค้าขาประจำ หรือ Heavy Users ให้ได้มากที่สุด พบว่าลูกค้าประจำทำให้เกิดรายไ้เป็นกอบเป็นกำ มากถึง 60-80% ของรายรับทั้งหมด ที่เรียกว่าลูกค้าไข่แดง แบรนด์จึงไม่ยอมให้ใครมาเจาะไป่ายๆ  

CRM Customer Relationship Marketing


การผูกสัมพันธ์กับลูกค้าไม่ว่าะเป็น การให้ข่าวสารข้อมูล Information Model การให้รางวัลReward Model การให้สะสมยอดซื้อCollection Model ในเครื่องสำอางOTC เสื้อผ้าแฟชั่น กาแฟสดทานครบ10 ฟรี1 บัตรสะสมคะแนนห้างฯ สะสมไมล์สำหรับสายการบิน การให้บริการวีไอพี หรือบริการปูพรม เฉพาะลูกค้าประจำ Value Added Model การจับไลฟสไตล์ที่ลูกค้าชอบ Lifestyle Model เช่นชวนลูกค้าไปตีกอลฟ์ ฟังเพลง ดูหนังฟรี หรือนำคู่ค้ามาให้สิทธิพิเศษกัลูกค้า Third Party Model เช่นซื้อกาแฟได้ลดราคาหรือทานฟ ได้ส่วนลดเมื่อทานอาหารที่ร้าน่างๆ โดยแนวคิดสร้างสัมพันธ์เพื่อซือใจลูกค้า ทำให้เกิดมูลค่าหัวตลอดชีพของลกค้า LTV Lifetime Value Customer สูตรสำเร็จในยุคนี้สรุปตัวชี้วดคือ Recency ลูกค้าซื้อครั้งสุดท้ายกับเราเื่อไรนานหรือยัง Frequency ลูกค้าซื้อกับเราบ่อยแค่ไหน และ Monetary ลูกค้าซื้อกับเราเป็นมูลค่าเท่ไร ยอดซื้อในแต่ละรอบ RFM คือการวัด ระดับมูลค่าหัวของลูกค้า ลูกค้ามูลค่าหัวสูงต้องได้รับกรบริการ และการดูแลที่แตกต่างเหนือระดัเกิดการคาดหวังของลูกค้า ส่วนการดูแลลูกค้าแบบเฉลี่ยเท่ๆกันทุกคนแบบประชาธิปไตยเป็นข้ผิดพลาดที่สำคัญของนักการตลาดมือใหม่

สรุป 3H หรือ 3 สร้าง สร้างภาพ สร้างยอด สร้างสัมพันธ์ หัวใจการตลาดยุค 1.0-2.2

 


ก่อนจะเข้าสู่ความลับการตลาด ยุค3.0 จะขอสรุป ว่า การตลาดยุค1.0 เน้นการสร้างภาพที่สมองลูกค้าใ้จดจำ Head ยุค2.1 จะเน้นการสร้างยอด โดยให้ลูกค้าเกิดการกระทำ ที่มือ Hand ภาษาอีสานเรียกว่า เฮ็ด ยุค2.2 จะเน้นการสร้างสัมพันธ์ ให้ลูกค้ารักเกิดที่ใจที่เรียก่า Heart 3 สร้างคือหัวใจสำคัญของบทเรียนกรตลาดยุค1 -2 แต่ในยุค 3.0 จะเกิดการสร้างลัทธิ ที่เรียก Human Spirit ไว้ติดตาม ฉบับหน้าครั

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

Marketing3.0>Marketing-Secret2.1

Marketing3.0 > ถอดบทเรียนการตลาดและสูตรลับการตลาด ยุค2.1 Marketing-Secret2.1


  ครั้งที่แล้วเราพูดถึงบทเรียนการตลาด ยุค 1.0  ในฉบับนี้เป็นเรื่องราวต่อจากยุคแรก และเริ่มต้นเข้าสู่ ยุค2.0  Marketing-Secret2.1 นักการตลาดเริ่มเน้นยอดขาย ทำยังไงที่จะเอาภาพที่ได้นั้นมสร้างยอด จึงเป็นที่มาของการสร้างยอด ด้วยการเน้น การตกแต่งจุดขายด้วย 5 Sense Marketing หรือสะดุด ตา สะดุดหู สะดุดด้วยการใช้กลิ่นหอม ให้ชิมทดลอง หรือได้สัมผัสที่เรียกว่า สุนทรีย์ศาสตร์ Aesthetic เพื่อสร้างอารมณ์และความตื่นเต ณจุดขาย การจัดวางผลิตภัณฑ์และตกแต่งหนาร้านให้น่าสนใจ VMD  จะเห็นว่าภาพก่อนจัด และหลังจัด ในร้านค้าปลีกโชห่วย  ก็สามารถจัดให้ดูดีแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตได้

แสดงการจัดหน้าร้าน ด้วยการจัดเรียงสินค้าให้ดูเรียบร้อย เป็นหมวดหมู่และสะดวกต่อการค้นหาและหยิบ

 เมื่อลูกค้าสนใจ ต้องให้เกิดการทดลองTrial  สวมใส่ ทดลองชิม ทดลองขับTest Drive ซึ่งอัตราการปิดการขายจะเพิ่มขึ้นทันที เป็น 1ในหลังจากที่ลูกค้าได้ทดลองแล้ว การเร่งเร้าให้รีบตัดสินใจด้วย โปรโมชั่น ซึ่งมีข้อพิจารณา เช่น ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ลดครึ่งราคา 50% แม้ว่าต้นทุนการตลาดฝั่งเราจะเ่ากัน แต่ในสายตาลูกค้ามองไม่เท่ากัน พบว่าการใช้คำโปรโมชั่นมีผลต่ออดซื้อต่างกัน  




        ส่วนสุดท้ายคือการสร้างประสการณ์ที่ดีให้ลูกค้าเห็นภาพปลาทาง เช่น โชว์เฟอร์นิเจอร์แต่งทั้งห้อง เครื่อสุขภัณฑ์แต่งทั้งห้องน้ำ เสื้อผ้าใส่บนหุ่นและภาพดูราแท มีนายแบบนางแบบ มาแนะนำผลิตภัณฑ์ หรือนำ คนหน้าตาดีมาเชียร์ผลิตภัณฑ์   หรือการจัด Event งานแสดงต่างๆ 

การจัดโชว์สินค้าสร้างอารมณ์ด้วยการฉายภาพปลายทางทั้งห้องให้เห็นไม่ต้องจินตนาการ
 

ทีเรียก Experiential Marketing หรือ CEM ซึ่งได้รวมเอาบริการ Service ไม่ว่าบริการก่อนการขาย เช่นตรวจสภาพผิวผม บริการขณะขาย คือแนะนำ ช่วยเหลือลูกค้าให้คำปรึกษา   และบริการหลังการขาย เช่น จัดห่อ ลงถุง และเดินบิล การตลาดยุคนี้จึงเน้น POP POS ที่พยายามเก็บเกี่ยว ทุนจากการสร้างภาพ มาแปลงเป็นสร้างยอดให้ได้ 
สูตรลับในยุค 2.1 คือ การกระตุ้นเร่งเร็วลูกค้าให้ได้ เมื่อลูกค้าสนใจสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แล้วจนกระทั่งต้องมาแวะชม เยี่ยมหน้าร้าน หรือจุดขายของเรา    เราจะใช้ การกระตุ้นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า  และ การให้บริการการต้อนรับ ที่ดี ให้ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และ กระตุ้นด้วย โปรโมชั่นให้ลูกค้าไม่ประวิงเวลา หรือถ่วงเวลาตัดสินใจซื้อออกไป     ครั้งหน้าเราจะพูดถึง ถอดบทเรียน ความลับการตลาดยุค ที่ 2.2   มาให้ครับ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

Marketing3.0>The-new-marketing-tools

Marketing3.0 > The new Marketing tools

คลิปวิดีโอ ที่ผมอัดรายการ  สังเวียนธุรกิจ ทาง Nation TV

I Marketing 3.0 > Social Marketing

ว่าด้วยเครื่องมือทางการตลาดทางเครือข่ายสังคมออน์ไลน์   Facebook มีคนไทยใช้ 23% Twitter  1 ล้านคนไทย   Google 1.8 แสนคน   LinkedIn  เครือข่ายสำหรับผู้บริหารและนักธุรกิจ    พฤติกรรมคนเข้าเว็บและ Facebook    ความถี่ในการ POST เนื้อหา



II Marketing3.0 > Facebook 

Facebook Profile หน้าบ้านส่วนตัว  Facebook Page  หน้าบ้านสำหรับแบรนด์ บริษัท  หรือ Event    Facebook Group สำหรับกลุ่มเน้นปฏิสัมพันธ์


 

III  Marketing3.0 > Mocial Marketing

เครื่องมือการตลาด Mobile Marketing + Social Marketing และ Mocial Marketing
เมื่อคนไทยมี อัตราเจาะ มือถือ 120% การเข้าถึงคนไทย 80% เนื่องจากบางคมมีมือถือ มากกว่าหนึ่งเครือง  และมือถือเข้าเน็ตได้ 12 ล้านคน  หรือ Mobile Internet    มือถือสามารถระบุตำแหน่ง Location  ที่เรียก Location Based Marketing โดยผสมผสานกับ QR code ณจุดขายที่เรียก POP POS  ด้วยหัวใจของ Point-Know-Buy







Marketing3.0>Marketing Trend

 Marketing3.0>Marketing Trend

รวมคลิปวิดีโอ สัมภาษณ์ทาง รายการสังเวียนธุรกิจ  ทาง Nation TV

I Marketing Trend  


แนวโน้มการตลาด Online ทั้งตลาดทั้งหมด และ ธุรกิจ SMEs ใช้การตลาดแบบออน์ไลน์มากขึ้น ชมคลิปวิดีโอ   ทั้ง  Email Marketing  SMS   Social  Media   E Commerc  Social Commerce และ  Location Based Marketing     การตลาด จาก   Outbound เป็น Inbound     จาก  on-off  เป็น Ongoing  จาก Passive เป็น Active และ Interactive  หรือมีปฏิสัมพันธ์และ  Engagement กับลูกค้า




II การพัฒนากลยุทธ์การตลาดจากยุค 1.0 ถึง ยุค 3.0 Marketing1.0  to Marketing 3.0 

   Marketing 3.0 ตอนที่ 1  จากเน้น Identity อัตลักษณ์ สร้างภาพ มาสู่ Image ภาพลักษณ์ คือสร้างยอดและสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า  มาสู่ Integrity สิริลักษณ์ หรือ ความดี เพื่อสร้างลัทธิหรือสาวก  ชมวิดีโอด้านล่าง
 



III   Total Marketing    

นักการตลาดจำเป็นต้องผสมผสานการตลาด Online และ Off-line หรือสื่อแบบดังเดิม เป็นกลยุทธ์ การตลาด 3.0  หรือกลยุทธ์การตลาดในยุคนี้ 






IV  กลยุทธ์การตลาด Online

การตลาด Online ด้วยหลักของ POST    People กลุ่มที่เราต้องการเข้าถึงหรือสื่อสารถึง ที่เป็นเป้าหมายทางการตลาดเรา  Objective  วัตถุประสงค์การตลาด ว่าต้องการให้เกิดการรับรู้  Engagement เกิดการขายหรือ เกิดความผูกพันธ์   Strategy กำหนดกลยุทธ์ 3Is    แล้วจึงเลือกสื่อทางเทคโนโลยี่ต่างๆ  Technology  เป็น เว็บ  Youtube  Social Media    SMS  Email   E-commerce  Location -Based Marketing

 
hostgator coupon