Digital Marketing 4.0

Digital Marketing  4.0
กลยุทธ์และ ไอเดียใหม่ เพื่อสร้างความภักดีลูกค้าในยุค Marketing5.0

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Marketing4.0>Management 4.0

การตลาด 4.0 > บริหารคนสายพันธุ์ใหม่ 4.0







เปลี่ยนจาก Oneman Show เป็น Networking Co-creation เน้น ตัว Realtime KPI 


ทำงานเป็นที่ปรึกษามา 20ปี ก็อยากเล่าว่า รากเหง้าปัญหาขององค์กร มักมาจาก การที่เจ้านายมักมีแต่เครื่องส่งไม่มีเครื่องรับ เวลาคุยกับลูกน้องตัวเอง บางทีก็กลายเป็นพูดฝ่ายเดียว ไม่มีมันสมองจากลูกน้องเลย นี่แหละปัญหาธุรกิจ ถ้ามีแก้วใบหนึ่งวางที่พื้นแล้วมีคนมาเตะแตก จะเกิด 2 กรณี
1.ถ้าคนเตะแก้วเป็นเจ้านาย ก็จะมีคำพูดว่า ใครมาวางแก้วเกะกะแถวนี้ว่ะ วางไม่เป็นที่เป็นทาง
2.ถ้าคนวางแก้วเป็นนาย ก็จะมีคำพูดว่า เดินอย่างไงไม่ดูตาม้าตาเรือ เตะแก้วแตกได้
ผมเคยพบเหตุการณ์สองกรณี
1.นายเคยชอบตัดสินใจคนเดียว เลือกแบบสินค้าเอง ว่าจะออกตัวนั้นตัวนี้ สีนั้นสีนี้ ต้องปรับแบบนั้นแบบนี้จะดีทำตามความรู้สีกตนเอง เพราะเมื่อก่อนไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ต่อมา มีระบบข้อมูลขายหน้าร้านบ่งชี้ ลูกน้องบอกว่า นายถ้าสีเนื้อสีครีมขายไม่ได้น่ะ แต่ขาวเทาดำขายได้ เพราะข้อมูลขายมันบ่งชี้ ในที่สุดนายต้องถอย เออ กูไม่เอาก็ได้ให้ผลิตตามใจมึง ลูกน้องบริษัทนี้นับวันมีแต่เก่งขึ้นมีมันสมองมากขึ้น และธุรกิจขยายได้เติบโต เพราะมีมวยแทนมากขึ้นทั้งองค์กรนายเหนื่อยน้อยลงทุกวัน
2 นายบางคนนี้สิ ไม่ฟังข้อเท็จจริง กูถูกคนเดียว นี่แหละ แม้ข้อเท็จจริงจะออกมาสวนทางก็ยังอยากเอาชนะพร้อมกับคำว่าประสบการณ์ (ในอดีต) ไม่ฟังข้อเท็จจริงปัจจุบันแต่เชื่อความรู้สึกตนเองมากกว่า ก็จะพบแต่พวกลูกน้องประเภท ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน โปรโมทตำแหน่งลูกน้องขี้นมาก็จะบอกว่าไม่มีใครทำหน้าที่ได้เลย เพราะลูกน้องไร้สมองกันหมดเห็นต่างไม่ได้ แล้วก็มาบ่นว่าเหนื่อย ต้องทำงานคนเดียวทั้งองค์กรไม่มีใครทำแทนเขาได้เลยต้องลงไปดูแลทุกจุดทุกฝ่าย เข้าทำนองว่า ตดคนอื่นนั้นเหม็นเหลือจะทน ตดของตนนั้นหอมดีมีสกุล นี่แหละครับ ธุรกิจแบบนี้ก็เลยโตได้จำกัด และยิ่งโตยิ่งน่ากลัวเพราะดูแลไม่ถึง
ก็เลยอยากจะเน้นว่า การบริหารแบบใหม่ นั้นเป็น Pseudo Science เหมือนที่ Kotler บอกว่า การตลาดมันเป็น กึ่งวิทยาศาสตร์ หมายถึงพิสูนจ์ได้จากข้อเท็จจริง หาเหตุปัจจัยได้ ยิ่งในยุค 4.0ด้วยระบบข้อมูลมาแบบ Realtime ยิ่งทำให้การเชื่อมโยงข้อเท็จจริง ได้เร็วทันทีทันควัน การชนะอยู่ที่ การวางระบบงาน มีAnalytics และตัดสินใจจากข้อเท็จจริงมากกว่า เชื่อความรู้สึก บริษัทรุ่นใหม่จะวางระบบการตัดสินใจเป็น Algorithm อัตโนมัติ เป็น Platform ด้วยซ้ำ ต่อจากนี้ไปคุณจะได้ยินบ่อยขึ้นถึง Marketing Automation Sales Automation Auto Replacement Auto Response ( ตัวอย่างHealth Tap Chat Bot จาก ไป้ตู้ https://vimeo.com/162458358 ) ผ่าน IoT Internet of Things

Disruption ยุคของการเปลี่ยนแปลงแบบข้ามวัน

Soft Landing 4.0 VS Hard Landing 4.0 จบกัน แล้วจะปรับตัวอย่างไงว่ะ มันเร็วจัง Disruption ของกองทัพนักขาย และSales Pipeline ทำให้ตั้งตัวไม่ทัน 1.ยุคทองของธุรกิจยอดนักขาย ทั้งมือทองมือฝังเพชร อาศัยการขายแบบ เผชิญหน้า Knockdoor F2F (Face to Face) อาวุธคือ Representative บริษัทขายตรงจะคุยกันว่าฉันมี แสนเร็บ คือมีพนักงานขายแสนคนว่างั้น
2ยุดสอง ผมมาทันยุคนี้ คือเมื่อก่อน ทีมขายของผม ในธุรกิจแค็ตตาล็อค และDRTV ขายของผ่านโทรทัศน์ กองทัพเราคือทีมขายทางโทรศัพท์ เมื่อยิ่งแคมเปญแล้ว เราก็มาคอยลุ้นระทึกว่าโทรศัพท์เข้าไหมดังไหม ลูกค้าโทรเข้ามาเยอะก็จะปิดขายได้เยอะ ยอดดีแน่ๆ ยุคนี้คือ Telesales Telemarketing Workspace คือ Tele Booth
3. จากนั้น ก็ เริ่มเปลี่ยนไป เป็นมีระบบ การสั่งซื้อ ผ่านระบบ ตะกร้าBasket มี Booking Engine Reservation Engine สำหรับจอง ผ่านระบบคอมฯ รู้ยอดขาย ผ่าน ระบบทันที แบบE Commerce ผ่านเว็บไซด์ และ Search Engine workspace พวกนาง นายคือ คอมพิวเตอร์หน้าจอ
4. โซเชียลมีเดียFB IG เติบโต มีทีมขาย ออน์ไลน์ เฝ้า Inbox ตัวเองคอยโต้ตอบกับลูกค้าก็สามารถ ขายของได้ เป็น Social Commerce ทีมขาย FB Inbox คือกองทัพที่จะต่อกรกับคู่แข่ง ทั้ง ด้าน บริการ ด้านขายตรง และส่งลูกค้าไปหน้าร้าน workspace คือ คอมฯ และมือถือ
5. Mobile Apps ที่ มีการพูดคุยส่วนตัวผ่าน Chat ไม่ว่า เป็น Line Messenger กองทัพเราคือ พนักงาน คอยตอบ live chat หรือ ใน Line@ workspace คือมือถือ

6. Internet of Things เมื่ออุปกรณ์คอมฯ อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน เริ่มต่อเชื่อมโยงหากัน พูดคุยกันรู้เรื่อง ตัวอุปกรณ์มี Sensor ตัวตรวจวัด ว่า ไอ้นี่หายไป 3 กระป๋องจากตู้เย็น มันจะส่งสัญญานเตือนเติมสต๊อคได้แล้วน่ะ หรือเชื่อมโยงไปยังผู้ขาย อัตโนมัติ ผ่าน Algorithm หรือชุดของโปรแกรมคำสั่ง เช่นเครื่องพิมพ์ Multifunction พิมพ์งานไป สองหมื่นแผ่นแล้วเตรียมส่ง ซัพพลายผงหมึกมา พร้อมช่างเข้าตรวจสภาพ เครื่องนวดหน้าตรวจจับสภาพบนหน้า แล้วส่งสัญญาเตือน ผู้ขาย ระบบการเติมเต็มผลิตภัณฑ์แบบอัตโนมัติ จาก ผู้ใช้ มายังร้านค้า ผู้ขาย ไปยังคลังสินค้า และสายการผลิต กองทัพทีมขายมันเริ่มกลายเป็น หุ่นยนต์ ระบบ Robot จะทำงานแทนเรา ไปๆมาๆ นี่กลายเป็นว่าตูต้องมารบกับ Robotหรือนี่ และ มีกองทัพขายเป็น Robot ด้วย นี่ตูจะ Soft Landing4.0 หรือ Hard Landing 4.0 ดีว่ะนี่ ในยุค Thailand 4.0

Marketing 4.0 > Social Commerce 4.0

การตลาด 4.0 > Social Commerce 4.0






เปิดเกมส์ Social Commerce ด้วย  Shop Tab

ความพยายามของ FB ที่จะ Bypass Webและ เกมส์ที่Googleเป็นเจ้าตลาด จากการที่จะทำFB ให้​เป็น Social Commerce เต็มตัวคือ 
1. มี Shop Tab สำหรับใส่สินค้า ลงไป
2. ให้มีProduct Tagใน Post รูป และในรูป วิดีโอ ที่ โพสต์ ได้


3.เมื่อดูสินค้าแล้วสนใจคลิกเข้า FB Messenger โต้ตอบได้ทันที ทัก Chat คุย กับ พนักงานขายได้เลย
4. อนาคตสามารถโอนเงินใน FB Messenger ซึ่ง คงมีหลายรายที่เป็นพันธมิตรกับ FB ในเรื่องทดสอบการโอนเงินผ่าน FB Messenger


ในขณะที่อีกหลายๆค่าย ของ E Commerce ยังคงเน้นวิถี การทำตลาด ทั้งโฆษณาผ่าน Adwords FB ให้วิ่งไปที่หน้าเว็บ ที่มีของนั้นๆขายอยู่ หรือวิ่งไปที่ Market Place
แล้วค่าย Mobile Commerce ผ่าน Mobile App ล่ะ ค่ายนี้จะผูกกับ Geolocation และ จักรกลหน้าร้านอย่าง Beacon เพื่อ Drive ลูกค้าจากโฆษณามาหน้าร้าน โหลด แอฟ เข้า โมบายเว็บ ผ่าน Google Beacon Platform จะช่วยให้เราสามารถตรวจจับ ลูกค้า ณจุดขาย POS เพื่อรู้พฤติกรรมลูกค้า ได้ ดังคำที่ว่า รู้กลยุทธ์ ไม่สู้รู้ชัยภูมิ รู้ชัยภูมิมิสู้รู้ฟ้าดิน รู้ฟ้าดิน มิอาจสู้รู้ใจคน โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกค้าเรา


ครื่องมือใหม่ของ FB ที่ช่วย ให้ทำงานSocial Commerceง่ายขึ้น



หนึ่งในความพยายามของ FB ที่จะให้ Page FB เป็น All-in-one Social Commerce และใช้งานง่ายขึ้นเลยจาก หน้าเพจ เกมส์ที่จะ Bypass Web Marketing และ Google ในอนาคต
1.Add Sales จะลิงค์ลูกค้าไปที่ Line@
2.Advertising your business จะส่งคนไปหน้าเว็บ หน้าเพจ แชร์
3.Get Phone Call เข้า call centerหรือทีมขายโทรศัพท์
4.Get Message คือ Messenger Destination หรือเข้าFB Inbox
5.Create Event เข้าไป อีเวนท์ที่เราจัด หรือไปออกบู้ท
6. Offer ให้ส่วนลด% ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง หรือ ให้ตัวอย่างฟรี ลูกค้าจะได้ผ่านออน์ไลน์ หรือ หน้าร้านก็ได้
7. Promote เข้าหน้า Note FB ซึ่งหน้านี้คือ เทียบกับเว็บคือ Landing Page หรือหน้าที่มีรายละเอียดสินค้าหรือ โปร เพิ่มเติมนั่นเอง หน้านี้มีลุ้นครับในอนาคต ถ้าฝัง FB Analytics ได้
8.Get People to view a Product ให้คนเข้าไปดูสินค้าตัวนั้นๆใน Shop Tab ของ FB (Tab ทีมีสินค้าเราอยู่ทุกผลิตภัณฑ์ )



วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Business4.0 > Innovation

Business 4.0 > นวัตกรรมธุรกิจ Business Innovation

ปัญหาเรื่อง นวัตกรรมองค์กร Business  Innovationในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเท่านั้นครับ แต่หมายถึงการทำอะไรในสิ่งใหม่ๆ พบว่าปัญหาไม่ใช่ องค์กร หรือธุรกิจ หรือ หน่วยงานไม่มีขีดความสามารถในการสร้างไอเดียใหม่ๆ แต่มาจากความกลัว หรือกลัวแรงเสียดทาน Resistanceต่างหาก



  1. กลัวว่าไอเดียไม่เข้าท่า สมัยผมยังหนุ่ม ทำงานที่ Lintas เอเยซี่ เบอร์1ของไทยขณะนั้น และมีโอกาสพบนายหญิง คนหนึ่งเธอสอนผมว่า Crazy Idea is The Great Idea จงอย่ากลัวที่จะออกความคิดใหม่ๆ เพราะคนมีประสบการณ์กว่าอาจจะคิดไม่ถึง สิ่งที่เราคิด ไอเดียบางทีก็มาจาก ซัพพลายเออร์ที่มีของใหม่มาฝาก เทคโนโลยี่ใหม่ๆ หรือมาจากสิ่งที่ลูกค้าเสนอแนะ เทคนิคนี้เรียก Synectics Richard Branson บอกลูกน้องเค้าว่าประตูห้องทำงานผมเปิดเสมอที่จะรับฟังความคิด ไอเดียแปลกๆใหม่ๆ 
  2. กลัวไม่มีเงิน หรืองบประมาณเพียงพอในการขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรม ก็ต้องหาเงินไม่เงินกูก็เงินกู้ล่ะครับ หรือ ของบประมาณกันครับ
  3. ผู้บริหารมีไอเดีย มีต้นแบบที่ดี แต่กลัวว่า ลูกน้องจะไม่ซื้อติดความเคยชินเก่าๆ ไม่ใช่ว่าสั่งให้ลูกน้องทำแล้วจะทำน่ะครับเดี่ยวนี้ ถ้าลูกน้องไม่ซื้อแล้วลูกน้องก็ จะทำแบบเสียไม่ได้ เพราะความเคยชินแบบเก่าๆนี่แหละครับ สายการผลิตก็ผลิตแล้วบอกว่าของเสียเยอะ ต้นทุนสูง เสียเวลาSetupนาน ควบคุมคุณภาพยาก ฝ่ายขายก็บอกว่าของใหม่ขายยากคุณภาพแกว่ง ร้านค้าไม่รับ ลูกค้าไม่ชอบ ขายของเก่าดีกว่า อันนี้เหมารวมถึงวิธีการทำงานใหม่ๆที่มีการเสนอขึ้นมาให้ทำด้วยครับ ปกติก็ต้องย้ำทำซ้ำซาก สัก 3-4 รอบธุรกิจ(ปกติเป็นรอบเดือน ขายตรง 20 วัน) การทำงานจึงจะเข้าเนื้อ Routinization แต่ส่วนใหญ่ผู้บริหารจะใจร้อน ขอวัดให้รู้เลยในรอบธุรกิจเดียว วัดหมู่จ่ากันเลย ซึ่งบางอย่างมันต้องการโมเมนตัม กับการทำให้ทีมงานทั้งหมด เข้าใจเนื้อแท้ของงานและทำกันแบบชำนาญการได้ 
  4. กลัวว่าลูกค้าเดิมไม่รับ ตลาดใหม่ก็ไม่ตอบสนอง ซึ่งบางทีตลาดต้องใช้เวลาในการยอมรับของใหม่ครับ บางครั้งเราจะหมดศรัทธาในผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่แล้วแต่แล้ว ในที่สุดตลาดก็กลับมาตอบรับ แล้วกลับมาขายดีแซง ของเก่า อันนี้แล้วแต่เราว่าจะให้เวลาโอกาสผลิตภัณฑ์ใหม่นานเท่าใด   บางบริษัทก็ให้เวลา 3เดือน เช่นแฟชั่น  หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าออน์ไลน์  บางบริษัทให้เวลา  2-3ปี  สินค้าอุปโภคบริโภค   บางบริษัทข้ามชาติให้เวลา5 ปี เพราะเขาต้องตั้งไข่ให้ได้ในฐานตลาดอินโดจีน 
บทสรุป กล้าทำในสิ่งที่คิดพัฒนา เปลี่ยนแปลง ขายไอเดียให้ทีมงาน ลูกน้อง ลูกค้าแล้ว ให้ทำซ้ำๆจน เกิดความชำนาญคุ้นเคยในสิ่งใหม่ๆ ตรวจวัดผลเสมอ และให้เวลาที่จะพิสูนจ์ อย่าใจร้อนเกินไป อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก อย่าให้ดึกยามกลับ เดี่ยวคนทางบ้านจะเป็นห่วง

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Marketing 4.0 > Update Facebook Ad 3

การตลาด 4.0 >   อัพเดท โฆษณา เฟสบุ้ค โซเชียลมีเดีย 3

เมื่อครั้งที่แล้วผมทิ้งท้ายไว้เรื่อง โฆษณาตัวใหม่ของ Facebook ที่ปลายทางโฆษณาเมื่อคลิกจะวิ่งไปเข้า Inbox  FB หรือกล่องข้อความ ซึ่งปัจจุบันคือ  Messenger  ซึ่ง  FB หมายมั่นปันมือจะมาแข่งกับ Line ในตลาด เอเชียให้ได้   ดังนั้น  Messenger Destination จึงผนวกเข้ามาอยู่ใน Fb Ad ล่าสุด โดยให้ นักการตลาดสามารถ ลงโฆษณา Facebook  เมื่อคลิกโฆษณา  ลูกค้าจะถูกส่งเข้าไปใน Inbox กล่องข้อความ เพจ Facebook ได้เลย  พร้อมเรายังสามารถสร้าง คำต้อนรับ ใน กล่องข้อความ เมื่อลูกค้าเข้ามาได้ดังตัวอย่างข้างล่าง
  


คำประกาศต้อนรับ อาจใส่คูปอง หรือ ข้อความเชิญชวน ให้ ลูกค้าทักเข้ามาคุยกันใน Messenger เพื่อสร้าง leads ให้กับ พนักงานขายออน์ไลน์ 

การทำ Messenger Destination
การสร้างโฆษณาก็เหมือนกับปกติ เพียงแต่ว่า ใน placement เราจะไม่สามารถเลือก IG  ได้เท่านั้นเองคล้ายๆกับ Canvas Ad  และตอนสร้าง Ad นั้นเหมือนขั้นตอนเดิมทุกอย่างยกเว้นการเลือก Destination  ให้เลือก เป็นMessenger  แทน  และ  Call to Action  ให้เลือก  Send Message  ส่งข้อความ หรือ ติดต่อเรา แทน  


จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า  เมื่อลูกค้าติดต่อเข้ามา จะสามารถพูดคุยกับ Online Sales แบบ Non Voice   ซึ่งลองนึกภาพถ้าเป็นเมื่อก่อน หลังเห็นโฆษณา ทีวีก็โทรเลย แบบโฆษณา AIA ไม่ต้องตอบคำถามเรื่องสุขภาพ  เมื่อโทรเข้าไปก็มี  พนักงานขายรับสายแบบ Voice     อันนี้เปรียบกับ การโฆษณาใน FB ปัจจุบันหลายนักการตลาดจะให้ลิงก์เข้าไปที่  Line@ เมื่อลูกค้าเข้า Line@ เพิ่มเพื่อนแล้ว จะได้รับ ข้อความต้อนรับ เหมือนกัน และเมื่อทัก Chat เข้าไป ลูกค้าก็จะได้Chatกับ Sales  Line@ ในปัจจุบัน เราสามารถ Broadcast  ได้ถึง Follower เราทุกคน  มีลูกเล่นทำคูปอง  ข้อความตอบกลับอัตโนมัติ  เชื่อว่า Messenger คงมี Bot  และ Featureเหล่านี้ออกมาในอนาคตเป็นแน่  

 Custom Audience

การสร้างกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย  ตามลูกค้าที่เคยมี Engagement กับเพจเรา ไม่ว่าเราต้องการเข้าถึงคนที่เคยดูวิดีโอใน FB เรา  คนที่เคยกรอกฟอร์มจาก FB Lead Ad  คนที่เคยเปิดดู Canvas Adเรา หรือสุดท้ายคือคนที่เคย แชร์ เนื้อหาที่เรามีหรือลงpostใน หน้าเพจ  ซึ่งฐานลูกค้านี้จะคงอยู่ได้ภายใน 30 วันเท่านั้น ซึ่งสมมุติว่าลูกค้ารายหนึ่งที่เค้าเคยแชร์ข้อมูลเราเมื่อ 45 วันที่แล้วจะไม่อยู่ในฐานข้อมูลนี้ครับ FB จะเก็บข้อมูลลูกค้าที่เคยแชร์เนื้อหาเราย้อนหลังเพียง 30 วันเท่านั้น     ส่วนคนเคยเข้าเว็บเราWeb visitor(ซึ่งเราต้องฝัง FB Pixelในหน้าเว็บตรง head) นั้นเราสามารถเก็บฐานข้อมูลคนเคยเข้าเว็บเราเพื่อทำ Retargeting หรือนำโฆษณาไปตอกย้ำหลอกหล่อนลูกค้ากลุ่มนี้ได้เพียงภายใน 180 วันเท่านั้น        และระยะเวลา 365วันสำหรับคนเคยดูวิดีโอ หรือ เข้าดู Canvas Ad เรา  ส่วน  Lead Ad FB  จะเก็บให้เราแค่ 90 วัน  



สำหรับคนที่เคยเข้าเว็บเราเราสามารถเลือกกลุ่มหัวครีมที่เข้ามาดูเว็บบ่อยๆแล้วสั่งโฆษณา FB เราไปแสดงกับคนกลุ่มนี้  ที่มีโอกาสซื้อของของเราได้    และเรายังสามารถเลือก  Top5  Top 10% ได้อีกหากคนเข้าชมเว็บเรามีจำนวนมากพอ ตัวนี้เป็นตัวคัดเลือกลูกค้าคาดหวัง กลุ่มหัวครีมออกมาจากคนที่เข้าชมเว็บทั่วๆไป  เมื่อเราใช้  FB  Ad ประเภทวัตถุประสงค์การตลาดเป็น   Web Click



ไว้พบกันใหม่ฉบับหน้าครับว่าจะมีอะไรใหม่ๆมาอัพเดทกัน  คราวนี้ขอย้ายค่ายไป กูเกิ้ลบาง ว่าด้วย Youtube Ad ครับ   หรือโฆษณาวิดีโอ ซึ่งล่าสุดมี3 แบบ  In Stream  Discovery และ  Bumper  6 วิ ที่ไม่ให้ผู้ชมกดข้ามโฆษณาได้  ครับ

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Marketing 4.0 > โฆษณา อย่างไรได้ผล Facebook

การตลาด 4.0 > Social Media Marketing เฟสบุ้ค 2


ในครั้งนี้ผมขอกล่าวเกี่ยวกับเรื่อง ราวของ Creative  ก่อนน่ะครับ ในครั้งหน้าค่อยคุยกันเรื่อง Target ที่เรามักจะ Set   ใน Adset   ซึ่งครั้งนี้ของคุยเรื่อง Ad แต่ละตัวใน Ad set    ทั้งนี้เราต้องตั้งโจทย์เป้าหมายว่าเราต้องการสร้าง Awareness  Reach คนเห็นเยอะ  หรือ  engagement  มีคนมา Views   Likes  Comments  Share ที่เรียก Promote Post   หรือเราต้องการ lead  ให้คนวิ่งไป กรอกข้อมูล ในเว็บ หรือ วิ่งเข้าในไลน์   หรือ  Messenger    หรือต้องการยอดขายเลย  อันนี้คือวัตถุประสงค์จะเป็นตัวตัดสินชี้วัด ความสำเร็จโฆษณา  

1.ก่อนอื่น ต้องให้โฆษณาเราอได้รับอนุมัติโดย FB เสียก่อน  เรื่องแรกและสำคัญคือ พื้นที่ตัวหนังสื่อต้องไม่เกิน 20%  ของภาพโฆษณาปัจจุบันกฏเหล็ก FaceBook เปลี่ยนไป เมื่อก่อนไม่ให้โฆษณาหากพื้นที่ตัวหนังสือเกิน20% แต่ปัจจุบัน FB ยึดหยุ่น ถ้าตัวหนังสือ มากๆ อดโฆษณา ตัวหนังสือเยอะ (Medium Heavy )โฆษณาโผ่ลน้อยหรือไม่โผล่เลย ตัวหนังสือน้อย (OK Low) โฆษณาโผล่เยอะ แน่นอนหากตัวหนังสือเยอะ นั้นหมายถึงคุณจ่ายค่าโฆษณาสูงกว่าตัวหนังสือน้อย วิธีการดูพื้นที่ตัวหนังสือให้ ทำ Crop ภาพที่คุณจะโหลดโฆษณา คุณจะเห็น 9 ช่อง พื้นที่ตัวหนังสือ Text หรือคำประกาศต้องไม่เกิน 2ช่อง ทางที่ดี คือ ช่องครึ่งพอ สิ่งไม่ถือเป็นตัวหนังสือ คือภาพสินค้าเต็มตัวที่มีตัวหน้งสือบนฉลากหรือกล่อง ตัวหนังสือประดิษฐ์ ภาพโปสเตอร์ Entertainment &Event ส่วนโลโก้ที่เป็นตัวหนังสือถูกนับรวมว่าเป็นText ครับ


นอกจากนี้  ห้ามใช้ โลโก้ หรืออ้างอิงชื่อ Facebook   เช่น facebook.com/marketingguruasean    ในรูปภาพโฆษณาก็ไม่ได้    โฆษณาแสดง Before After  เป็นตัวที่ มักจะโดนไม่อนุมัติ   การแสดงผลลัพธ์ภาพแสดงสัดส่วนเฉพาะเช่นลดพุง   เอวขอด    แสดงอวดอ้างสรรพคุณมากไป  ก็มักจะโดนห้ามโฆษณา


2.ทำโฆษณาเราให้โผล่บ่อยๆ
 ข้อควรระวังคือโฆษณาล่อเหยื่อ หรือ Postsที่หลอกคนให้เข้าไป คลิกลิงค์ เป็นสิ่งที่ Facebook เกลียดและจะแสดงในหน้า Feed ให้คนเห็นน้อย ตัวอย่างดังภาพ เฟสบุ้คเรียกมันว่าClick Bait หรือล่อเหยือให้คลิกไปดูเพิ่มเติม แต่เมื่อลูกค้าคลิกไปแล้ว เนื้อหาปลายทางไม่ได้มีอะไร ทำให้ ลูกค้าใช้เวลาบนหน้า เว็บ แป๊บเดียว และก็กลับมาที่ Facebook Feed เหมือนเดิม เขาวัดเวลาที่ลูกค้าไปหน้าเว็บปลายทาง หรือ หน้าเพจ ว่าใช้เวลานานไหม ถ้าใช้เวลาแป๊บเดียวแล้วก็ย้อนกลับมา หน้า Feed เหมือนเดิม เฟสบุ้คจะหมายหัว ว่าเป็นcick bait และจะโชว์โฆษณาโผล่น้อยในหน้าNews Feed

3.เวลาใส่ link url ไปปลายทาง Destination Creative Facebook โฆษณาแบบไหน จะโชว์ ในหน้า Feed แบบไหนบ่อยกว่า สมมุติว่าเป็นการ โปรโมท Post ในแบบ Link format หรือซ่อนลิงก์ (ภาพแรก ซึ่งภาพจะใหญ่กว่าเมื่อคลิกที่ภาพ ลิงค์จะพาไปยัง ปลายทางเช่น หน้าเว็บ landing page)



มากกว่า แบบ ฝัง link ใน photo caption (ภาพสอง จะเห็น ลิงค์ในตัวหนังสือ เหนือภาพ ทำเป็นลิงค์ย่อ bit.ly) FB พบว่าลูกค้าจะคลิกแบบ link format (ภาพใหญ่ ) มากกว่าและแบบแรก ภาพใหญ่กว่ามันก็โชว์ได้ดีกว่าในหน้าจอเล็กๆแบบมือถือ



4. รูปแบบโฆษณา นั้น ปัจจุบัน  FB มีรูปแบบโฆษณาให้เลือกหลากหลาย  Single Photo   แบบภาพเดียวที่เราคุ้นเคย  ดังตัวอย่างข้างบน    แบบ Carouselที่เหมือนบานสไลด์  หรือมีหลายภาพและใส่ลิงก์ไปปลายทางได้หลายลิงก์ในแต่ละภาพ    แบบ Slide Show  ทีนำภาพมาต่อกันวิดีโอ       หรือ  วิดีโอ ที่เราต้องโหลดวิดีโอเข้าใน ในแถบวิดีโอของ FB Page ก่อน       และ โฆษณาแบบ  Canvas  หรือแบบเต็มหน้าจอมือถือ    และ  Messenger  Destination  ที่จะทำให้คนคลิกวิ่งไปที่ FB  Messenger หรือ  Inbox  พร้อมมี Robot  text ประกาศคำต้อนรับ เมื่อลูกค้าคลิกโฆษณาแล้ววิ่งไป Messenger  ข้างล่างเป็นตัวอย่าง Canvas  Ad
  

ทั้งนี้เราต้องทำการทดสอบว่า รูปแบบโฆษณาแบบไหนเวิรค์สำหรับ Themeแต่ละธีม ซึ่งจะไม่เหมือนกัน บ้างครั้งโชว์ภาพเดียวเวิรค์กว่า บางครั้ง Carousel เวิรค์กว่า บางครั้ง วิดีโอเวิรค์กว่าอันนี้ขึ้นกับวัตถุประสงค์ แต่ วิดีโอ ใน FB มักจะได้คลิกมากกว่า youtube ที่เราใส่ CTA วิ่งไปหน้าปลายทางเช่น Landing Page เพราะ วิดีโอมันโชว์ Landing Page ด้านล่างวิดีโอเลย คนเลยคลิกไปปลายทางได้ง่ายๆ กว่าของ Youtube ที่เป็นแบนเนอร์แบบแอบๆ คนมักไม่ค่อยเห็นลิงก์ไปปลายทางเท่าไร อย่างไรผมขอติดเรื่อง การทำ Messenger Destination เป็นครั้งหน้าครับ

Marketing4.0 > อัพเดทหลักการทำโฆษณาบน FB

การตลาด 4.0 > อัพเทรนด์ โซเชียลมีเดีย เฟสบุ้ค 1

FB Ad โฆษณาไปยังฐานลูกค้ากว้างเหมือนกัน 

โฆษณาคุณจะไปถึงลูกค้าคนนอก นอกเหนือคนที่ลงทะเบียนFB หากคนนั้นเคยเข้ามาดูเนื้อหาในเฟสบุ้ค ของใครก็ตาม โดยเฉพาะถ้าคุณระบุโฆษณา ไปยังกลุ่ม เครื่อข่าย Audience Network หรือพันธมิตร FB ด้วย คนที่เข้ามาดูPage ใดๆก็แสดงว่าสนใจเรื่องนั้น เช่นคนเข้ามาดูเรื่อง เพจทำอาหาร แสดงว่ามีความสนใจทำอาหาร คนมาดูเพจแฟชั่นแสดงว่าสนใจแฟชั่น  คนดูเพจโรงแรมท่องเที่ยวแสดงว่าไลฟสไตล์สนใจการท่องเที่ยว    FB เรียกมันว่า interest based advertising  แต่รู้ไว้เถอะว่าโฆษณาของคุณไม่ได้จำกัดวงเฉพาะคนใน FB หรือมี Account FB เสียแล้ว     อีกประเด็นที่เป็นIssue  คือ  เฟสบุ้คประกาศชัดว่าใครจะบล็อคโฆษณาใน Facebook ไม่มี ทาง Facebook ประกาศว่าโปรแกรม Ad Block จะไม่ส่งผลใดๆ สำหรับ Facebook Ad

แต่ FB ก็มีทางเลือกให้เราสามารถ เลือก Ad preference ได้ ไปที่ setting>ads>ads base on my preferences แล้วเลือกที่จะปิด ประเภทความสนใจเรา Interest  หรือเปิดต่อก็ได้  แต่ที่น่าแปลกใจ คือ การที่FB บอกว่าเราสนใจอะไร ดูมันจะจริงแค่ครึ่งเดียว คุณลองดู ว่า FB บอกว่าคุณชอบอะไรได้ถูกต้องหรือไม่ ผมค่อนข้างประหลาดใจ เพราะ FB มันเอาข้อมูลมาจากการเราไปดูหน้าเพจเรื่องใด  ประกอบกับการเดาจากการเรากรอกข้อมูลเข้าไปใน Profile     หากคุณไม่ปิดโฆษณามันจะโชว์ตาม Interest  Base นี้แหละครับ มันถือวิสาสะเอาเลยว่าเราสนใจเรื่องพวกนี้ โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็จะโผล่มาแสดงใน FB  เรา  และนักการตลาดก็ควรจะรู้ไว้ว่าด้วย การเลือก Ad Set  เป็นกลุ่ม Target ลูกค้าที่จะเห็นโฆษณาเรา ด้วย Demographic เช่น เพศ อายุ     และ   Interest Base มันจะแม่นยำแค่ไหน  





ทิศทางเคลื่อนทัพของ Facebook  


 เป็นที่ทราบกันว่าFB มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทะยอยออกมาเป็นแถว ตั้งแต่  FB Video  Instant Message  Canvas Ad   Messenger Destination   และ Custom Audience ประเภทต่างๆ ไม่ว่าเป็นคนดูวิดีโอเรา  คนเข้าเว็บเรา  บ่อยสุด   คนกรอกLead form  คนแชร์ลิงค์    แต่ FB ประกาศชัดเจน สองเรื่องสำหรับ Strategic Movement ก้าวสำคัญ คือ   
  1.  FB สนใจ Search  Marketing และการค้นด้วยคำหลักหรือ Keywords  ที่จะกินเข้าพื้นที่ กูเกิ้ล  ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก Facebook ส่งสัญญาเตือน Google เมื่อ ตามาร์ค ออกมาเผยไต๋ว่า ตูก็สนใจ เข้าตลาด Search Advertising เหมือนกันน่ะ บอกว่ามีคน Search ใน FB กว่า สองพันล้าน การค้นหาต่อวัน ดังนั้นในเฟลสองก็จะพยายามทำ เครื่องมือค้นหาให้ดี ตัวอย่างที่เราค้นหา Topic ที่เราสนใจคือ ใส่ hashtag # ในช่องค้นหา เช่นเราค้นคำว่า#Marketing4.0 จะได้เนื้อหาที่เราต้องการโผล่ขึ้นมา นี่เป็นถือเป็นการประกาศขยายอาณาเขตจากSocialMarketing เข้าเขตแดน Search Marketing ของ อากู๋เสียแล้วจร้า สาเหตุหนึ่งที่ชัดเจนคือ จากการวิจัยพบว่า Interest Based Marketing อย่างFBไม่ได้อยู่คนละโลกกับ Keywords Based Marketing อย่างSearch Adwords พบว่าเมื่อโฆษณาลง Facebook จะทำให้ลูกค้าไปกระเสือกกระสนไปค้นหาแบรนด์มากขึ้นด้วย Search Engine เพิ่มอัตรา Landing เข้าไปในหน้าเว็บ +6.3% ด้วย Mobile Search และเมื่อเพิ่มโฆษณาใน FB อัตรา Conversion ของ Search Ad หรือการปิดการขายก็ยิ่งมากขี้นดูรูปจาก Facebook IQ ดังนั้นอย่ากระนั้นเลย FB กระโดดเข้า ตลาด Serach Marketing เสียเลย
  2. FB สนใจโปรโมท Messenger ที่เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับ FB  Inbox หรือกล่องจดหมายในเฟสบุ้คให้สามารถขายของ  Chat   โอนตังค์ได้ และเหมือนก้าวมาเปิดแนวรบกับ ไลน์ ทั้งสองตัวนี้  เมืองไทยใช้กันมาเพื่อขายของออน์ไลน์  ปิดการขาย แบบส่วนตัว ส่วนตัว  ที่ พนักงานขายออน์ไลน์ ชอบนักชอบหนา  
      


พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ จะว่ากับด้วยเรื่อง Creative  Ad   FB มีคอมเม้นท์ อะไรเวิรค์ ไม่เวิรค์  และ การลดกฎเหล็กเรื่องพื้นที่ตัวอักษรต้องไม่เกิน 20%ของพื้นที่ภาพโฆษณา




วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Marketing4.0 > Mobile App เทรนด์ใหม่มากแรงแซงทุกมิติ

การตลาด 4.0  เมื่อการตลาดมือถือขึ้นขย่มบังลังก์ Web Marketing


ทำไมต้อง Mobile  Apps


ในตลาด Mobile App มีการคาดการณ์โดยกูเกิ้ลว่า  แอฟใน Play Store  มีประมาณ 2 ล้าน และ App  Store อีก 2 ล้านรวมเป็น 4 ล้าน     80% ของแอฟไม่เคยถูกโหลด และ  80% ของแอฟที่มีอยู่ในมือถือ นั้นถูกใช้เพียงครั้งเดียวซึ่งโดยปกติ คนไทยจะโหลดแอฟเข้าเครื่องเฉลี่ย  36แอฟต่อมือถือ 1เครื่อง  คนไทยเฉลี่ยใช้แอฟทุกวันประมาณ 5 แอฟ  เป็น Facebook  Line  Twitter  IG   Youtube  อุ๋ยหมดแล้วนี่หว่า  แล้วพื้นที่แอฟที่เหลือจะไว้ให้ใครอีก     
สาเหตุที่ 70%ของธุรกิจค้าปลีก  ร้านอาหาร และร้านขายของเฉพาะอย่างหันมามี  Mobile App กัน เพราะ Mobile App มันโหลดได้ไวกว่า Mobile Web  ยังไม่ต้องพูดถึง Responsive Web ที่ช้ากว่าอีก   และโมบายแอฟมันใช้งานง่าย  มีเครื่องมือเฉพาะที่ใช้กับมันได้ เช่น  แผนที่  Location  กล้องบนมือถือ ที่สามารถเชื่อมกับ QR code  AR Technology ได้  มี Beacon  Techที่ทำให้มันสามารถส่งข่าวสารข้อมูลเฉพาะเข้ามือถือขณะลูกค้าเดินช้อปในห้างร้านหรืออาคารได้    ตัวอย่างในรูป การส่ง SMS  ใส่ลิงก์ย่อ ลงไป เมื่อลูกค้าคลิกและมีการติดตั้ง แอฟไปแล้ว  ลูกค้าจะถูกพาเข้า Mobile App แอฟเลย  แต่ถ้าไม่มีก็ต้องไปโหลดก่อน ที่ App Store  หรือ  Play store





กว่าเราจะหากันจนเจอะ

ปัญหาของเนื้อหาใน Mobile App คือ  คนจะต้องเข้าแอฟก่อนถึงจะเห็นเนื้อหา หรือ  ค้นหาเนื้อหาใน แอฟได้  ทางแก้ปัญหาคือ เพียงแต่ให้ หน้าจอของแอฟแต่ละหน้า มี  Deep Link  หรือ  ในความหมายคือ  เส้นทางเดินทางPath  ที่ให้มันวิ่งไปหน้าเฉพาะที่มีเนื้อหาต่างๆอยู่  เช่น หน้า Home  หน้า Register   หน้า Booking  หน้า Product    เช่น  ลิงก์ Web URL :  http://mysite.com /page    
ส่วน   ลิงก์ Mobile App URI :  myapp:/page   ซึ่ง page =  Home หรือ   Register หรือ  Booking   หรือ  Product  แล้วแต่หน้า เนื้อหา ซึ่งแนะนำว่าควรให้หน้าในเว็บ สอดคล้องกับหน้าใน Mobile  Apps  แล้วให้ ลิงก์เชื่อมโยงหากัน หรือ Match กัน(บางที่ก็เรียก  Universal Linkและ App Links)   ในบ้างครั้งเราอาจจะทำโฆษณา หรือส่ง SMS หรือส่งข้อมูลลิงก์ใน หน้า FB ใส่  ลิงก์ลงไป  ถ้าเป็น URL เว็บมันไม่มีปัญหามันลิงก์ไปปลายทางได้ แต่ถ้าเป็น หน้าในของ โมบายแอฟ  ที่นี่แหละปัญหาเลย  ถ้าเราใส่ Deep link  คนไม่มี แอฟเราจะวิ่งเข้าไปหน้านั้นๆไม่ได้ ต้อง โหลดแอฟก่อน ถึงจะเข้าได้    แต่ถ้าเราโหลดแอฟไว้  ก่อนก็จะสามารถเห็นเนื้อหาในแอฟได้  ผ่านเข้าไปใน Deep Link     ลองพิมพ์คำว่า twitter://  ใน ซาฟารี หรือ Google App ดูครับถ้าเรามี twiiter  App อยู่มันจะพาเราเข้าไปยัง twitter ทันที พบว่ามีเพียง 20-25%เท่านั้น ของTop200 Mobile Apps ที่รู้จักใช้ Deep link  Tag


ทำอย่างไรให้เนื้อหาในแอฟหาพบโผล่ในหน้าผลการค้นหา

Search Engine ละรายงานข้อมูลที่อยู่ใน Deep link ของMobile App ไหม   เมื่อก่อนไม่เดียวนี่ ใช่  เพียงแต่ เราต้องเอาหน้า Deep Link ที่เป็นปลายทางนั้น มาใส่  รายละเอียดเพิ่ม ที่เรียก Meta Tag  หรือที่เรียกกันว่า มาจัดทำข้อมูลว่าหน้านั้นมีเนื้อหาอะไรอยู่ โดยเครื่องมือ แอฟยักษ์ที่สนใจให้เราสร้าง Meta Tag Data ได้ก็มีแต่ค่ายใหญ่   เช่น ใน  Twitter ใช้ Twitter cards, ใน FB ใช้ FB App links,ส่วนApple ใช้ Smart App Banner  หรือ Google   เรียกการจัดทำดัชนี  Google App  Index(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Firebase App Index)  เพียงเท่านี้  ตัว Deeplinks  หน้านั้นๆก็จะมี ข้อมูล และถูกค้นหาพบ ใน ผลการค้นหา ใน  Search Engine หรือผล การค้นหาของ Facebook  Twitter  Apple     รายละเอียดที่ว่านี้เช่นชื่อ Scheme   ชื่อโฮสต์    เส้นทาง หรือชื่อหน้าข้อมูล   และ  ID (อย่าง Product ID )    ส่วนค่ายใหญ่ที่ช่วยให้งานเราง่ายขึ้นในการกำหนด URI ลิงก์ใน แอฟมือถือ เป็น   Universal Link สำหรับ  Deeplink  มี   branch.io   bitly.com  appsflyer.com        
         
 

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

Marketing4.0 > Mobile SEM 2016

การตลาด4.0 > อัพเดทเทรนด์  Search Engine Marketing  2559 



Google  ล่าสุดออกมา อัพเดทว่าช่องทางลงโฆษณา หรือ  Platforms ของ กูเกิ้ล จากเดิม 3 ช่องทางจะขยายเป็น 5 ช่องทาง /Platforms คือ 
1.Search only Ad คือการลงโฆษณาโดยอาศัยคำค้นหา หรือคำหลัก ซึ่งคำหลักที่ลูกค้าค้นหา เวลามีความต้องการ โดยมีสมมุติฐานว่า Keywords ที่ค้นหา = Need หรือความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ค้นคำไหนแสดงว่ามี อุปสงค์ในสินค้าตัวนั้นๆ เช่นค้นคำว่าหน้า V หมายถึงมีความต้องการ เสริมความงามบนใบหน้าแบบเกาหลี แต่ถ้าค้นว่า ร้อยไหม ก็ต้องการแบบหนึ่ง ถ้าค้นว่าโบท๊อกซ์ก็ต้องการอีกแบบหนึ่ง สำหรับตัวนี้มีการปรับปรุง ของกูเกิ้ล ใหม่คือ โฆษณา ตัวอักษร หรือ Text Ad แบบยาวยืด Extended Ad โฆษณาใหม่ ของ Adwords ที่เรียก Extended Text Ad นั้นมี 2 Headline จากแต่เดิมมีอันเดียว และเพิ่มคำบรรยาย Description ให้ยาวขึ้น พบว่าการเพิ่มตัวหนังสือให้มากขึ้นทำให้ เห็นได้ดีขึ้นในมือถือ และเพิ่มอัตราการสนใจคลิก CTR Click Through Rate เข้ามาในเว็บเราถึง +20% ในขณะที่ World Stream พบว่า การใส่ Ad Extension เช่นใส่เบอร์โทรในโฆษณา หรือใส่ link ไปยังหน้าต่างๆเพิ่มเติมเพิ่ม อัตรา CTR 7%

2.GDN Google Display Network  โดยระบุ ไปลงโฆษณากับพันธมิตรเครือข่ายกูเกิ้ล ในรูป โฆษณาแสดง Dsiplay Ad ซึ่ง กูเกิ้ลได้มีลูกเล่น มากขึ้น โดย มีการออกเครื่องโฆษณาล่าสุด Responsive Ad คือโฆษณาจะเปลี่ยนหน้าตา เป็นแบบ ตัวหนังสือ Headline สั้น หรือยาว มีรูปแสดงหรือไม่มีรูปแสดงในโฆษณา คล้าย แบบ Facebook Ad ขึ้นกับสื่อต่างๆที่เป็นพันธมิตรของกูเกิ้ลว่ามีพื้นที่ให้มากน้อยขนาดไหน ที่จะเปลี่ยนหน้าตาโฆษณาให้ไม่เหมือนกัน เป็นโฆษณาข้อความText Ad ตัวหนังสือสั้น ตัวหนังสือยาว โฆษณาแบบมีภาพ ขึ้นกับว่าโฆษณานี้จะไปโผล่ที่สื่อใด เว็บไหน เราไม่ต้องทำอะไรเลย GDN ตัดสินใจแทนเรา เป็นยุทธการที่ทำให้ลูกค้าเป็นหง่อย


3.โฆษณาวิดีโอ  Youtube ซึ่งจะลงในรูปแบบ In-stream  หรือ Pre-roll   อยู่หน้าละครย้อนหลัง  แต่ก็มีรูปแบบอื่นๆ เช่น อยู่ตรงกลาง และ ไม่ให้ข้ามการดูโฆษณา เป็นต้น หรือ In -Display Video  ที่จะโฆษณาคล้ายหลักการค้นหาคำ ชื่อวิดีโอที่ลูกค้าต้องการค้นหา   หรือในหน้าเนื้อหาหรือช่องยูทูป
   และสองช่องทางโฆษณาใหม่เพื่อตอบรับกับยุค Mobile Apps  Google Smart Phone App Research-APAC ซึ่งพบว่า คนโดยเฉลี่ยจะมี  Apps ในมือถือ 36 Apps  80% ถูกใช้งานเพียงครั้งเดียว และ มีแค่ 5  Apps  เท่านั้นที่ถูกใช้ประจำวัน
4.โฆษณา ในการค้นหา Mobile Apps  ซึ่งจะพบในผลการค้นหา Apps  ใน Play Store  ของกูเกิ้ล
5.โฆษณากับพันธมิตร Mobile Apps  ของกูเกิ้ล   คือโฆษณา Apps เราจะโผล่ใน App พันธมิตร  เมื่อลูกค้าหรือผู้ใช้แอฟ กำลังดูหรือเล่น แอฟนั้นๆอยู่   In-App Action   
  
ซึ่งกูเกิ้ลมีลูกเล่นใหม่ผ่านUniversal App Campaign  UAC  จะแสดงโฆษณา แอฟเล่นผ่าน 5  Google Platforms ดังกล่าวข้างต้น แบบอัตโนมัติ  โดยมันจะตัดสินใจแทนเรา  เพียงเรากำหนด  วัตถุประสงค์ CPI Cost Per Install  งบโฆษณา  พิกัดLocation   ข้อความโฆษณา 4  บันทัด และลิงค์ไป วิดิโอยูทูปเราถ้ามี  ตัวนี้ กูเกิ้ลภูมิใจกับมันมาก เรียกมันว่าเป็น Machine Learning คือเครื่องมีการเรียนรู้ พฤติกรรมของ User หรือคนใช้มือถือว่า ชอบเล่นแอฟอะไร  ชอบค้นหใน platformไหน   และ โฆษณาโผล่ ในเวลาใด ช่องทางใด  สถานที่ใด  แล้วโดนลูกค้าเป้าหมาย  จนลูกค้าเข้ามา Install App (Conversion) ทั้งนี้มีการปรับเปลี่ยน ช่องทางโฆษณา เวลา สถานที่  ตามปริมาณ Conversionที่เข้ามา เพื่อให้ได้ต้นทุนต่อ การ Install ตามเป้าหมาย ที่กำหนด   หรืออีกชื่อหนึ่งของมันคือ  Conversion Optimizer  ซึ่งคนต้องติดตามกันต่อไปว่า ลูกเล่น Solution ของกูเกิ้ลจะออกมามีอะไรใหม่ๆมาตอบโจทย์  ซึ่ง ROI Marketing  ในอนาคตจะไม่ได้ focus เฉพาะ Conversion อย่างเดียว แต่ จะเล็งผลเลิศไปที่  Event Value  Optimization  ที่ต้องการ เช่น การบรรลุ Level  การยอมจ่ายตังค์ซื้อของในแอฟ     การแชร์แอฟ    Add to cart  เป็นต้น  ติดตามใหม่ ในฉบับหน้า ครับ ว่า Facebook Marketing มีเครืองมืออะไรใหม่ๆออกมา  เช่น Canvass Ad   การป้องการ Ad block  และ การประกาศสงครามกับกูเกิ้ลใน Keyword Based Marketing     

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

Marketing 4.0 >Digital Marketing2016 Thailand


การตลาด 4.0 >การตลาดดิจิตอลประเทศไทย 2016


Digital Marketing


Digital Marketing 2016 Thailandประชากรไทย 68 ล้านคน ใช้ อินเทอร์เน็ต 38 ล้านคน หรือ 56% และใช้ Mobile Internet มือถือที่เข้าสู่เน็ตได้ 45% ข้อมูลจาก We Are Social ทำให้เห็นว่าการทำตลาดดิจิตอลถึงจุด critical mass แล้ว คือเกินครึ่งหนึ่งของประชากรคนไทย และนี่เป็นตัวบ่งบอกสัญญาถึง  Mobile Friendly จะมีบทบาทมากขึ้นในการออกแบบเนื้อหา และการเข้าถึงเนื้อหาของแบรนด์



Web Marketing


Web Marketing  2016 จากข้อมูลนี้ บ่งบอกว่า คนเข้ามาดูข้อมูลในเว็บเรา ด้วยคอมฯตั้งโต๊ะ ครึ่งหนึ่ง และมาดูผ่านมือถืออีกครึ่งหนึ่ง อันนี้เป็นตัวเลขเฉลี่ยที่ We are Social รายงาน แต่สำหรับผมคิดว่าข้อมูลไม่ค่อยตรงเท่าใดนัก จากประสบการณ์การทำตลาด ดิจิตอลของผมให้ลูกค้าพบว่า
B2B 50% ดูด้วยใช้ Desktop อีก 50% ดูด้วยมือถือ
B2C 80% ดูข้อมูลในเว็บผ่านมือถือ 20% ดูผ่าน Desktop ครับ
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราต้องมีข้อมูลเว็บ ที่ดูผ่านมือถือได้ ไม่ว่าจะเป็น Responsive HTML5.0 Mobile web Mobile Apps เพื่อให้ลูกค้าดูข้อมูลของเราผ่านมือถือ Tablet ได้สะดวกโยธิน Device จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงContext Marekting นอกจาก Comtent Marketing 



Social Marketing


Social Marketing 2016 ที่มาแรงแซงทางโค้ง และเห็นได้ชัดเจนจาก 2015 คือ โซเชียลมีเดียบนมือถือ Mocial Marketing อย่าง Line ที่มีตัวหัวหอกคือ  line@  ที่สามารถใส่ปุ่มลิงค์ Add friend และ สแกน QR code ได้  และ FBMessenger  สำหรับตัวนี้ ได้มีการพัฒนา เป็นMessenger Robot  ที่ใส่คำตอบล่วงหน้าสำหรับแต่ละคำถามที่ลูกค้าถามเข้ามาได้ และยังมี การสแกน Fb Messenger code เพื่อล็อคเข้ามาใน messager ได้ เพื่อคุยกับแบรนด์โดยตรงเหมือนเข้า Inbox  รวมถึงการใส่ลิงค์เข้าไปใน Fb Messenger ได้ ตัวลิงค์คือ   m.me/ชื่อpage username  เช่น   m.me/marketingASEAN   ในอนาคตเพจจะมี @ชื่อเพจอยู่ด้วย  เช่น @thaimarketingguru     IG ส่วน Facebook ยังคงต้องจับตามองละเลยไม่ได้เหมือนเดิมนอกจากมีแล้ว เครื่องมือ Inbox เป็นตัวตอบโจทย์อย่างมากสำหรับลูกค้า ข้อมูลโดย We Are Social

Marketing 4.0 >Advertising Trend 2016

การตลาด 4.0 > แนวโน้มการโฆษณา 

แนวโน้มการตลาดและโฆษณาแบรนด์พอบอกได้ว่า  งบการตลาดเคลื่อนย้ายจาก Offline ไปสู่ Online  จาก Keyword Based  ไปสู่ People Base     จากดิจิตอล  Desktop ไปสู่ Mobile   และจาก แบรนเนอร์และ TVC  ไปสู่ วิดีโอ Video Ad    สื่อ Offline หนีตาย หาเครื่องมือ  QR /VR/ AR code    log on   FB Messager Scan Code เพื่อดึงลูกค้าเข้าไปในระบบออน์ไลน์


Mobile  จะเป็นตัวนำตลาดโฆษณา  


มีการคาดว่า โฆษณาบนมือถือในสหรัฐจะแซงหน้าโฆษณาบน Desktopในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2018( ข้อมูลจาก eMarketer.com) และ Format ของโฆษณา จะเป็นแม่น้ำสี่สาย ของแท้ แหมพูดเป็นคอการเมืองไปได้ คือ



1. โฆษณาผ่าน Searchคือซื้อโฆษณาโดยเจาะจงคำหลักค้นหา ในการซื้อ
2.Display Ad แน่นอนตัวพ่อยังเป็น GDN Google Display Network ที่จะไปปรากฎเป็นแบนเนอร์ ไม่มีโปรตีน หรือ โฆษณาในเว็บพันธมิตรเครือข่ายพี่กู
3.Social Ad โฆษณาในสื่อสังคมออน์ไลน์ ตัวแม่คือ Facebook ที่มีเครื่องมือล้ำหน้าไปไกลเกินกูเกิ้ลหลายขุม ทั้ง Custom Audience , Local Retargeting, Lookalike และ
4.แม่น้ำสายสี่ที่มาแรงแซงทางโค้งคือ โฆษณาบนวิดีโอ Video Ad ที่กูเกิ้ลยังนำโด่งอยู่ แม้ FB พยายามจะให้มี โพสต์วิดีโอบนหน้าบ้านและโฆษณาไปยังลูกค้าเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่รู้โฆษณาไปหาสรรค์อะไรหากไม่ไปปลายทางที่ Landing page เว็บไซด์ หรือ มีการเก็บรายชื่อ lead คนสนใจผลิตภัณฑ์ ซึ่งโฆษณาlead ad ของ FB ก็ยังไม่ได้เชื่อมโยงกับ วิดีโอ และการใช้ค่อนข้างยุ่งยากจึงยังไม่ตอบโจทย์
จากกราฟข้อมูลของ emarketer จะเห็นน้ำหนักมันกำลังจะมาเท่าๆกันคือสายละ 25% นี่แหละแม่น้ำสี่สายของแท้ แต่ผู้บริหารหลายตนก็ยังไม่เข้าใจ ว่า โฆษณาแค่สร้างภาพให้คนรู้จักมันหมดยุค หรือตกยุคไปแล้ว ขณะที่คนเห็นทีวี เขาค้นเน็ต คำหลัก ชื่อแบรนด์ในเน็ตทันที แต่ถ้าไม่เจอะโฆษณาออน์ไลน์ หรืออยู่หน้าแรก หรือค้น Fb Searchไม่เจอะ ผมบอกเลยว่า โฆษณาสร้างภาพเป็นต้นทางหากมันไม่สามารถนำ ลูกค้าเป้าหมาย เคลื่อนไปตาม Customer Journey หรือเส้นทางเดินทางลูกค้าได้ จาก รู้จัก>ค้นหา>สนใจ เปรียบเทียบ>ติดตาม>ตัดสินใจซื้อ>Review&Share>รับบริการ หนทางมันยาวไกลที่เราต้องสร้างสัมพันธ์ CRM  ตลอดเส้นทางเดินทางของลูกค้า หากผู้บริหารยังติดกับการสร้างภาพ ใช้เงินทำหน้าบ้านให้ดูดี แต่ไม่สนใจหลังบ้าน คือ ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากคนรู้จักให้มาสนใจ และแสดงตนเข้ามาในฐานข้อมูลหรือระบบติดตามของเรา และเปลี่ยนหล่อหลอม คนสนใจให้กลายเป็นลูกค้า จากลูกค้ากลายมาเป็นแฟน ที่คอยเอาใจช่วยแบรนด์ เชียร์แบรนด์ ก็เท่ากับหลังบ้านท่านรั่ว จะทำหน้าบ้านดีสวยเท่าไร หลังบ้านรั่วก็คงหมดท่า ภาพพจน์ดีเท่าใด แต่ตรวจวัดไม่ได้เลยว่า มี คนรู้จักมาสนใจกี่ราย คนสนใจกลายมาเป็นลูกค้ากี่ราย และ ลูกค้ากลายมาเป็นแฟนกี่ราย และแฟนที่ช่วยเป็นกองเชียร์กี่ราย แล้วจะมาบ่นว่าลูกค้าหายไปไหน ไปแจ้งความสิครับ


แนวโน้มโฆษณาดิจิตอลในประเทศไทย


สำหรับการโฆษณาดิจิตอลในบ้านเราผมบังเอิญไปพบข้อมูลนี้พอดี เลยมาอัพเดทกันนิดหนึ่ง การตลาดเมืองไทยใช้ดิิจิตอลเต็มรูปแบบ Digital Advertising โดยปีที่แล้วมียอดใช้จ่ายโฆษณาดิจิตอลโต48% ปีนี้คาดว่าการใช้จ่ายการตลาดดิจิตอลจะโต 25% โดยกลุ่มธุรกิจที่ใช้มากที่สุด คือ ธุรกิจสื่อสาร ตามมาด้วย ธุรกิจรถยนต์ ประกันภัย เครื่องประทินผิวและเครื่องสำอาง ข้อมูลจาก emarketer ซึ่งนำมาจากสมาคมโฆษณาดิจิตอลแห่งประเทศไทย Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) แต่หลายๆธุรกิจ ก็ยังติดกักดักกับการสร้างภาพแบบเดิมๆ ยิงโฆษณาทีวีสร้างแบรนด์ โดยไม่นึกถึงความพร้อมของหลังบ้านตัวเองเลย ว่าจะรับลูกอย่างไร ถ้าลูกค้าวิ่งเข้ามาหา แล้วจะรับลูกค้ากันอย่างไงโดยเฉพาะลูกค้าเห็นโฆษณาปับค้นเน็ตปุ๊บ พบเห็นclick to call กูโทรเลย แต่ไม่มีคนรับสาย เพราะโฆษณาออน์แอร์ตอน สามทุ่มติดละคร ออฟฟิตปิด หรือลูกค้าเข้ามาหน้าร้านมีอะไรรองรับ บางแบรนด์ผมเห็นแล้วก็ขำ สร้างโลโก้ใหม่ Rebranding ไปติดหน้าร้านหน่อย เปลี่ยนสีให้ตรงกับสีแบรนด์ อย่างเอาเป็นเอาตาย ปรับหน้าตาร้าน หน่อย แล้วก็ละลายเงินทางทีวี โดยหวังว่าคนเห็นทีวีแล้วจะวิ่งเข้าร้านหรือวิ่งมาซื้อ แปลกแต่จริง


ผมก็อยู่ในธุรกิจนี้ เห็นวัฎจักรเป็นแบบนี้มาก็เยอะ ยิ่งกว่าบ้านทรายทองฉายหนังซ้ำ แต่ลูกค้าผมหรือ ลูกศิษย์ลูกหาผมก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้เด็ดขาดเพราะ มันคือการสูญเสียทางการตลาด เรื่องหลังบ้านเป็นเรื่องที่ผมอยากเน้น Once Upon a time เคยมีแบรนด์ๆหนึ่งโฆษณาทางทีวี ผมเช็คเพื่อนผมที่อยู่สายโฆษณา ใช้งบละเลงไปปีละ 80 ล้าน สร้างแบรนด์ ก็โอละ ได้ คนสนใจมาเป็นคนขายของให้ แสนสอง แต่ เก็บไม่ได้ครับ เก็บได้จริง 8 หมื่น และจาก 8หมื่นเหลือ คนเอาจริงขายให้แบรนด์นี้เพียง 5หมื่นในเวลา 3 เดือนผ่านไป นี่คือความหมายที่ผมบอกหลังบ้าน เตรียมการไว้หรือยัง ไม่ว่าลูกค้าจะ ค้นในเน็ต โทรเข้ามา เก็บได้หรือเปล่า แล้วเปลี่ยนคนสนใจให้เป็นลูกค้าได้หรือเปล่า และเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ได้หรือเปล่า ขอให้โชคดีทุกๆคน


อนาคตคนจะตั้งตัวบล็อคปิดกันโฆษณา


  ในบ้านเรายังไม่นิยมใช้ ตัวบล็อคโฆษณาหรือ Ad blocker Apps ที่จะช่วย บล๊อคโฆษณาที่จะมากับ วิดีโอ facebook ad  และ banner ad แต่ในต่างประเทศนิยมใช้กันในกลุ่ม วัยรุ่นและคนมีอายุน้อย มากกว่า คนที่มีอายุมากๆ พบว่า 16-34 ปีจะรู้ว่ามี Apps ตัวนี่อยู่บนโลกนี้ และก็จะใช้มันในการบล็อคโฆษณา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ข้อมูลจากประเทศฝรั่งเศส โดย emarketer ในอนาคตเครื่องมือในการเข้าถึงคนกลุ่มนี้ คือวัยรุ่น และเด็กมหาลัยและกลุ่ม คนพึ่งทำงานใหม่ๆก็จะยากขึ้นถือเป็นความท้าทายของนักการตลาดอีกตัวหนึ่ง อยากทดลองใช้ไปที่ getablock.com ครับ แต่หลายๆเว็บหากพบแอฟตัวนี้ก็จะบล็อคไม่แสดงเนื้อหาเช่นกัน เป็นอันว่า Userไหนมีแอฟตัวนี้เป็นอดดูข้อมูล เนื้อหา หรือ  content ในเว็บนั้นไปเลย

Marketing 4.0 >Micro Moment

 การตลาด 4.0 >  การตลาดสายลมวูบเดียว



กูเกิ้ล  Google ล่าสุดออกมาพูดถึง  Micro Momen t หรืออารมณ์ชั่ววูบเดียว ในยุคที่มือถือครองเมือง พบว่าMobile Searchคิดเป็น 80% ของการค้นหาสินค้า consumer นั้นคือ แนวโน้มคนค้นหาผ่าน หน้าจอที่เล็กลง มี เวลาดูน้อยลง ดูหน้าเดียวกันซ้ำหลายๆครั้งมากขึ้น ดูแล้วดูอีก และสภาพแวดล้อมของลูกค้าคือ On The Move หรือกำลังเคลื่อนที่ ซึ่ง ข้อแนะนำในการทำตลาดคือ
1เมื่อลูกค้าค้นหา หรือต้องการรู้Know ต้องพบเราอยู่ในมือถือ เช่น ลูกค้าต้องการซื้อรถจะ ค้นคำว่า โชว์รูมใกล้ที่สุด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ราคา เงื่อนไขพิเศษ เมื่อลูกค้าค้นหาโรงแรมจะค้น ที่พัก ราคา โปรโมชั่นโรงแรม ซึ่งคำพวกนี้ เมื่อลูกค้าค้นต้องเจอะเราก่อน Be There เราต้องเดาใจลูกค้าว่าคนถือมือถือจะค้นคำว่าอะไรสำหรับCategoryเรา



2. Go เมื่อลูกค้าต้องการไปณ สถานที่ Location เช่น สถานีบริการน้ำมันที่ใกล้ที่สุดเพราะรถจะตายแล้ว 7-11เพราะกูกระหายจะตายแล้ว ร้านอาหารใกล้ๆกู นั้นคือ ต้องมีเราปรากฎบนแผนที่ ต้องมีแผนที่ หรือ บอกสตีอคที่มีอยู่หน้าร้าน พร้อมเงื่อนไขพิเศษ Be There Be Useful


3 Do ลูกค้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เช่น ทดลองขับTest Drive เอารถเข้ารับบริการ เอานาฬิกาไปซ่อม ทำทรงผมสไตล์ไหนดี แต่งตัวอย่างไรดี ทดลองเครื่องสำอางบนหน้า ทดลองไปนั่งในโชว์รูมหรือในร้าน ต้องมี Call To Action CTA เช่น click to call กดแล้วโทรออกได้เลย หรือมีวิดีโอสาธิต หรือมี QR Code Scan AR นำลูกค้าเข้าไปสู่ Apps ทดลอง หรือ เข้าหน้าทดลองสาธิต มีสีลิปสติก eye shadow Brush on ปรากฏบนหน้าเรา (ดูตัวอย่าง Makeup Genius ของลอรีอัล) มีเสื้อผ้าปรากฎบนตัวเราได้ มีเฟอร์นิเจอร์จำลองไปไว้ในมุมบ้านของเราได้(ตัวอย่าง IKEA Catalog) ด้วยเทคโนโลยี่ AR หรือมีวิดีโอสาธิต Be Useful


4 Buy เมื่อลูกค้าต้องการซื้อ จะซื้อหน้าร้าน ซื้อผ่านออน์ไลน์ ในขณะตัวอยู่หน้าร้าน ซื้อผ่าน Apps  เช่นWalmart Grab&Go  ที่ลูกค้าสามารถสแกน Bar codeสินค้า และวิ่งเข้าระบบตระกร้า ตอนชำระเงินก็ผ่าน Self Checkout Counter ไม่ต้องมีพนักงาน   ส่วน  Tesco Homeplus ก็ให้ลูกค้าสามารถ ช้อป ขณะรอรถไฟใต้ดินหรือรอรถเมล์   โดยสั่งซื้อด้วยการ สแกน QR Code กับ Virtual Store Shelf  ที่นำภาพไปวางในแหล่งปลาชุมหรือชุมชน ที่ลูกค้าอยู่เยอะๆ   หรือลูกอยู่กับพนักงานขายหน้าร้านพนักงานจะแนะนำลูกค้าอย่างไร  เรียกขั้นตอนที่ทำคือ  Be Quick ให้ลูกค้าไม่เสียเวลารอนาน


hostgator coupon