Digital Marketing 4.0

Digital Marketing  4.0
กลยุทธ์และ ไอเดียใหม่ เพื่อสร้างความภักดีลูกค้าในยุค Marketing5.0

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

Marketing 4.0 >Digital Marketing2016 Thailand


การตลาด 4.0 >การตลาดดิจิตอลประเทศไทย 2016


Digital Marketing


Digital Marketing 2016 Thailandประชากรไทย 68 ล้านคน ใช้ อินเทอร์เน็ต 38 ล้านคน หรือ 56% และใช้ Mobile Internet มือถือที่เข้าสู่เน็ตได้ 45% ข้อมูลจาก We Are Social ทำให้เห็นว่าการทำตลาดดิจิตอลถึงจุด critical mass แล้ว คือเกินครึ่งหนึ่งของประชากรคนไทย และนี่เป็นตัวบ่งบอกสัญญาถึง  Mobile Friendly จะมีบทบาทมากขึ้นในการออกแบบเนื้อหา และการเข้าถึงเนื้อหาของแบรนด์



Web Marketing


Web Marketing  2016 จากข้อมูลนี้ บ่งบอกว่า คนเข้ามาดูข้อมูลในเว็บเรา ด้วยคอมฯตั้งโต๊ะ ครึ่งหนึ่ง และมาดูผ่านมือถืออีกครึ่งหนึ่ง อันนี้เป็นตัวเลขเฉลี่ยที่ We are Social รายงาน แต่สำหรับผมคิดว่าข้อมูลไม่ค่อยตรงเท่าใดนัก จากประสบการณ์การทำตลาด ดิจิตอลของผมให้ลูกค้าพบว่า
B2B 50% ดูด้วยใช้ Desktop อีก 50% ดูด้วยมือถือ
B2C 80% ดูข้อมูลในเว็บผ่านมือถือ 20% ดูผ่าน Desktop ครับ
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราต้องมีข้อมูลเว็บ ที่ดูผ่านมือถือได้ ไม่ว่าจะเป็น Responsive HTML5.0 Mobile web Mobile Apps เพื่อให้ลูกค้าดูข้อมูลของเราผ่านมือถือ Tablet ได้สะดวกโยธิน Device จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงContext Marekting นอกจาก Comtent Marketing 



Social Marketing


Social Marketing 2016 ที่มาแรงแซงทางโค้ง และเห็นได้ชัดเจนจาก 2015 คือ โซเชียลมีเดียบนมือถือ Mocial Marketing อย่าง Line ที่มีตัวหัวหอกคือ  line@  ที่สามารถใส่ปุ่มลิงค์ Add friend และ สแกน QR code ได้  และ FBMessenger  สำหรับตัวนี้ ได้มีการพัฒนา เป็นMessenger Robot  ที่ใส่คำตอบล่วงหน้าสำหรับแต่ละคำถามที่ลูกค้าถามเข้ามาได้ และยังมี การสแกน Fb Messenger code เพื่อล็อคเข้ามาใน messager ได้ เพื่อคุยกับแบรนด์โดยตรงเหมือนเข้า Inbox  รวมถึงการใส่ลิงค์เข้าไปใน Fb Messenger ได้ ตัวลิงค์คือ   m.me/ชื่อpage username  เช่น   m.me/marketingASEAN   ในอนาคตเพจจะมี @ชื่อเพจอยู่ด้วย  เช่น @thaimarketingguru     IG ส่วน Facebook ยังคงต้องจับตามองละเลยไม่ได้เหมือนเดิมนอกจากมีแล้ว เครื่องมือ Inbox เป็นตัวตอบโจทย์อย่างมากสำหรับลูกค้า ข้อมูลโดย We Are Social

Marketing 4.0 >Advertising Trend 2016

การตลาด 4.0 > แนวโน้มการโฆษณา 

แนวโน้มการตลาดและโฆษณาแบรนด์พอบอกได้ว่า  งบการตลาดเคลื่อนย้ายจาก Offline ไปสู่ Online  จาก Keyword Based  ไปสู่ People Base     จากดิจิตอล  Desktop ไปสู่ Mobile   และจาก แบรนเนอร์และ TVC  ไปสู่ วิดีโอ Video Ad    สื่อ Offline หนีตาย หาเครื่องมือ  QR /VR/ AR code    log on   FB Messager Scan Code เพื่อดึงลูกค้าเข้าไปในระบบออน์ไลน์


Mobile  จะเป็นตัวนำตลาดโฆษณา  


มีการคาดว่า โฆษณาบนมือถือในสหรัฐจะแซงหน้าโฆษณาบน Desktopในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2018( ข้อมูลจาก eMarketer.com) และ Format ของโฆษณา จะเป็นแม่น้ำสี่สาย ของแท้ แหมพูดเป็นคอการเมืองไปได้ คือ



1. โฆษณาผ่าน Searchคือซื้อโฆษณาโดยเจาะจงคำหลักค้นหา ในการซื้อ
2.Display Ad แน่นอนตัวพ่อยังเป็น GDN Google Display Network ที่จะไปปรากฎเป็นแบนเนอร์ ไม่มีโปรตีน หรือ โฆษณาในเว็บพันธมิตรเครือข่ายพี่กู
3.Social Ad โฆษณาในสื่อสังคมออน์ไลน์ ตัวแม่คือ Facebook ที่มีเครื่องมือล้ำหน้าไปไกลเกินกูเกิ้ลหลายขุม ทั้ง Custom Audience , Local Retargeting, Lookalike และ
4.แม่น้ำสายสี่ที่มาแรงแซงทางโค้งคือ โฆษณาบนวิดีโอ Video Ad ที่กูเกิ้ลยังนำโด่งอยู่ แม้ FB พยายามจะให้มี โพสต์วิดีโอบนหน้าบ้านและโฆษณาไปยังลูกค้าเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่รู้โฆษณาไปหาสรรค์อะไรหากไม่ไปปลายทางที่ Landing page เว็บไซด์ หรือ มีการเก็บรายชื่อ lead คนสนใจผลิตภัณฑ์ ซึ่งโฆษณาlead ad ของ FB ก็ยังไม่ได้เชื่อมโยงกับ วิดีโอ และการใช้ค่อนข้างยุ่งยากจึงยังไม่ตอบโจทย์
จากกราฟข้อมูลของ emarketer จะเห็นน้ำหนักมันกำลังจะมาเท่าๆกันคือสายละ 25% นี่แหละแม่น้ำสี่สายของแท้ แต่ผู้บริหารหลายตนก็ยังไม่เข้าใจ ว่า โฆษณาแค่สร้างภาพให้คนรู้จักมันหมดยุค หรือตกยุคไปแล้ว ขณะที่คนเห็นทีวี เขาค้นเน็ต คำหลัก ชื่อแบรนด์ในเน็ตทันที แต่ถ้าไม่เจอะโฆษณาออน์ไลน์ หรืออยู่หน้าแรก หรือค้น Fb Searchไม่เจอะ ผมบอกเลยว่า โฆษณาสร้างภาพเป็นต้นทางหากมันไม่สามารถนำ ลูกค้าเป้าหมาย เคลื่อนไปตาม Customer Journey หรือเส้นทางเดินทางลูกค้าได้ จาก รู้จัก>ค้นหา>สนใจ เปรียบเทียบ>ติดตาม>ตัดสินใจซื้อ>Review&Share>รับบริการ หนทางมันยาวไกลที่เราต้องสร้างสัมพันธ์ CRM  ตลอดเส้นทางเดินทางของลูกค้า หากผู้บริหารยังติดกับการสร้างภาพ ใช้เงินทำหน้าบ้านให้ดูดี แต่ไม่สนใจหลังบ้าน คือ ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากคนรู้จักให้มาสนใจ และแสดงตนเข้ามาในฐานข้อมูลหรือระบบติดตามของเรา และเปลี่ยนหล่อหลอม คนสนใจให้กลายเป็นลูกค้า จากลูกค้ากลายมาเป็นแฟน ที่คอยเอาใจช่วยแบรนด์ เชียร์แบรนด์ ก็เท่ากับหลังบ้านท่านรั่ว จะทำหน้าบ้านดีสวยเท่าไร หลังบ้านรั่วก็คงหมดท่า ภาพพจน์ดีเท่าใด แต่ตรวจวัดไม่ได้เลยว่า มี คนรู้จักมาสนใจกี่ราย คนสนใจกลายมาเป็นลูกค้ากี่ราย และ ลูกค้ากลายมาเป็นแฟนกี่ราย และแฟนที่ช่วยเป็นกองเชียร์กี่ราย แล้วจะมาบ่นว่าลูกค้าหายไปไหน ไปแจ้งความสิครับ


แนวโน้มโฆษณาดิจิตอลในประเทศไทย


สำหรับการโฆษณาดิจิตอลในบ้านเราผมบังเอิญไปพบข้อมูลนี้พอดี เลยมาอัพเดทกันนิดหนึ่ง การตลาดเมืองไทยใช้ดิิจิตอลเต็มรูปแบบ Digital Advertising โดยปีที่แล้วมียอดใช้จ่ายโฆษณาดิจิตอลโต48% ปีนี้คาดว่าการใช้จ่ายการตลาดดิจิตอลจะโต 25% โดยกลุ่มธุรกิจที่ใช้มากที่สุด คือ ธุรกิจสื่อสาร ตามมาด้วย ธุรกิจรถยนต์ ประกันภัย เครื่องประทินผิวและเครื่องสำอาง ข้อมูลจาก emarketer ซึ่งนำมาจากสมาคมโฆษณาดิจิตอลแห่งประเทศไทย Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) แต่หลายๆธุรกิจ ก็ยังติดกักดักกับการสร้างภาพแบบเดิมๆ ยิงโฆษณาทีวีสร้างแบรนด์ โดยไม่นึกถึงความพร้อมของหลังบ้านตัวเองเลย ว่าจะรับลูกอย่างไร ถ้าลูกค้าวิ่งเข้ามาหา แล้วจะรับลูกค้ากันอย่างไงโดยเฉพาะลูกค้าเห็นโฆษณาปับค้นเน็ตปุ๊บ พบเห็นclick to call กูโทรเลย แต่ไม่มีคนรับสาย เพราะโฆษณาออน์แอร์ตอน สามทุ่มติดละคร ออฟฟิตปิด หรือลูกค้าเข้ามาหน้าร้านมีอะไรรองรับ บางแบรนด์ผมเห็นแล้วก็ขำ สร้างโลโก้ใหม่ Rebranding ไปติดหน้าร้านหน่อย เปลี่ยนสีให้ตรงกับสีแบรนด์ อย่างเอาเป็นเอาตาย ปรับหน้าตาร้าน หน่อย แล้วก็ละลายเงินทางทีวี โดยหวังว่าคนเห็นทีวีแล้วจะวิ่งเข้าร้านหรือวิ่งมาซื้อ แปลกแต่จริง


ผมก็อยู่ในธุรกิจนี้ เห็นวัฎจักรเป็นแบบนี้มาก็เยอะ ยิ่งกว่าบ้านทรายทองฉายหนังซ้ำ แต่ลูกค้าผมหรือ ลูกศิษย์ลูกหาผมก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้เด็ดขาดเพราะ มันคือการสูญเสียทางการตลาด เรื่องหลังบ้านเป็นเรื่องที่ผมอยากเน้น Once Upon a time เคยมีแบรนด์ๆหนึ่งโฆษณาทางทีวี ผมเช็คเพื่อนผมที่อยู่สายโฆษณา ใช้งบละเลงไปปีละ 80 ล้าน สร้างแบรนด์ ก็โอละ ได้ คนสนใจมาเป็นคนขายของให้ แสนสอง แต่ เก็บไม่ได้ครับ เก็บได้จริง 8 หมื่น และจาก 8หมื่นเหลือ คนเอาจริงขายให้แบรนด์นี้เพียง 5หมื่นในเวลา 3 เดือนผ่านไป นี่คือความหมายที่ผมบอกหลังบ้าน เตรียมการไว้หรือยัง ไม่ว่าลูกค้าจะ ค้นในเน็ต โทรเข้ามา เก็บได้หรือเปล่า แล้วเปลี่ยนคนสนใจให้เป็นลูกค้าได้หรือเปล่า และเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ได้หรือเปล่า ขอให้โชคดีทุกๆคน


อนาคตคนจะตั้งตัวบล็อคปิดกันโฆษณา


  ในบ้านเรายังไม่นิยมใช้ ตัวบล็อคโฆษณาหรือ Ad blocker Apps ที่จะช่วย บล๊อคโฆษณาที่จะมากับ วิดีโอ facebook ad  และ banner ad แต่ในต่างประเทศนิยมใช้กันในกลุ่ม วัยรุ่นและคนมีอายุน้อย มากกว่า คนที่มีอายุมากๆ พบว่า 16-34 ปีจะรู้ว่ามี Apps ตัวนี่อยู่บนโลกนี้ และก็จะใช้มันในการบล็อคโฆษณา โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ข้อมูลจากประเทศฝรั่งเศส โดย emarketer ในอนาคตเครื่องมือในการเข้าถึงคนกลุ่มนี้ คือวัยรุ่น และเด็กมหาลัยและกลุ่ม คนพึ่งทำงานใหม่ๆก็จะยากขึ้นถือเป็นความท้าทายของนักการตลาดอีกตัวหนึ่ง อยากทดลองใช้ไปที่ getablock.com ครับ แต่หลายๆเว็บหากพบแอฟตัวนี้ก็จะบล็อคไม่แสดงเนื้อหาเช่นกัน เป็นอันว่า Userไหนมีแอฟตัวนี้เป็นอดดูข้อมูล เนื้อหา หรือ  content ในเว็บนั้นไปเลย

Marketing 4.0 >Micro Moment

 การตลาด 4.0 >  การตลาดสายลมวูบเดียว



กูเกิ้ล  Google ล่าสุดออกมาพูดถึง  Micro Momen t หรืออารมณ์ชั่ววูบเดียว ในยุคที่มือถือครองเมือง พบว่าMobile Searchคิดเป็น 80% ของการค้นหาสินค้า consumer นั้นคือ แนวโน้มคนค้นหาผ่าน หน้าจอที่เล็กลง มี เวลาดูน้อยลง ดูหน้าเดียวกันซ้ำหลายๆครั้งมากขึ้น ดูแล้วดูอีก และสภาพแวดล้อมของลูกค้าคือ On The Move หรือกำลังเคลื่อนที่ ซึ่ง ข้อแนะนำในการทำตลาดคือ
1เมื่อลูกค้าค้นหา หรือต้องการรู้Know ต้องพบเราอยู่ในมือถือ เช่น ลูกค้าต้องการซื้อรถจะ ค้นคำว่า โชว์รูมใกล้ที่สุด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ราคา เงื่อนไขพิเศษ เมื่อลูกค้าค้นหาโรงแรมจะค้น ที่พัก ราคา โปรโมชั่นโรงแรม ซึ่งคำพวกนี้ เมื่อลูกค้าค้นต้องเจอะเราก่อน Be There เราต้องเดาใจลูกค้าว่าคนถือมือถือจะค้นคำว่าอะไรสำหรับCategoryเรา



2. Go เมื่อลูกค้าต้องการไปณ สถานที่ Location เช่น สถานีบริการน้ำมันที่ใกล้ที่สุดเพราะรถจะตายแล้ว 7-11เพราะกูกระหายจะตายแล้ว ร้านอาหารใกล้ๆกู นั้นคือ ต้องมีเราปรากฎบนแผนที่ ต้องมีแผนที่ หรือ บอกสตีอคที่มีอยู่หน้าร้าน พร้อมเงื่อนไขพิเศษ Be There Be Useful


3 Do ลูกค้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เช่น ทดลองขับTest Drive เอารถเข้ารับบริการ เอานาฬิกาไปซ่อม ทำทรงผมสไตล์ไหนดี แต่งตัวอย่างไรดี ทดลองเครื่องสำอางบนหน้า ทดลองไปนั่งในโชว์รูมหรือในร้าน ต้องมี Call To Action CTA เช่น click to call กดแล้วโทรออกได้เลย หรือมีวิดีโอสาธิต หรือมี QR Code Scan AR นำลูกค้าเข้าไปสู่ Apps ทดลอง หรือ เข้าหน้าทดลองสาธิต มีสีลิปสติก eye shadow Brush on ปรากฏบนหน้าเรา (ดูตัวอย่าง Makeup Genius ของลอรีอัล) มีเสื้อผ้าปรากฎบนตัวเราได้ มีเฟอร์นิเจอร์จำลองไปไว้ในมุมบ้านของเราได้(ตัวอย่าง IKEA Catalog) ด้วยเทคโนโลยี่ AR หรือมีวิดีโอสาธิต Be Useful


4 Buy เมื่อลูกค้าต้องการซื้อ จะซื้อหน้าร้าน ซื้อผ่านออน์ไลน์ ในขณะตัวอยู่หน้าร้าน ซื้อผ่าน Apps  เช่นWalmart Grab&Go  ที่ลูกค้าสามารถสแกน Bar codeสินค้า และวิ่งเข้าระบบตระกร้า ตอนชำระเงินก็ผ่าน Self Checkout Counter ไม่ต้องมีพนักงาน   ส่วน  Tesco Homeplus ก็ให้ลูกค้าสามารถ ช้อป ขณะรอรถไฟใต้ดินหรือรอรถเมล์   โดยสั่งซื้อด้วยการ สแกน QR Code กับ Virtual Store Shelf  ที่นำภาพไปวางในแหล่งปลาชุมหรือชุมชน ที่ลูกค้าอยู่เยอะๆ   หรือลูกอยู่กับพนักงานขายหน้าร้านพนักงานจะแนะนำลูกค้าอย่างไร  เรียกขั้นตอนที่ทำคือ  Be Quick ให้ลูกค้าไม่เสียเวลารอนาน


Marketing4.0 > SEO & SEM

การตลาด 4.0 > การทำให้เว็บติดอันดับ  Search Marketing


Search marketing นั้นในความหมายคือทำอย่างไงให้ลูกค้าหาเราเจอะ เมื่อเขามีความต้องการสินค้า หรือแบรนด์   แน่นอน ลูกค้าอาจค้นจาก  กูเกิ้ลหรือ  Search Engine  ซึ่ง จะมีคำค้น เช่นต้องการ  ทีวี คำค้นอาจเป็น  ทีวี   ทีวีสี   ทีวีจอแบบ  ทีวีLED   ทีวีซัมซุง  ทีวี พานา   ทีวี โซนี่   แต่เมื่อค้นเราพบเราหรือเปล่า ไม่ว่า เราจะเป็น เว็บ  โซเชีลมีเดียอย่าง Facebook   วิดีโอ Youtube    Blog เรา   ภาพเรา  Location Google Map เรา   นี่คือทำอย่างไร ให้ Contentหรือ เนื้อหาเราติดอันดับ ไม่ว่าจะเป็น  ภาพ  โลเคชั่น  วิดีโอ  บทความ  หน้าเว็บ    หน้าขายของ   รีวิว  บล็อค     ซึ่งโดยหลักมีการสร้างได้สองทาง คือ

  1.  SEO  Search Engine Optimization  การเล่นคำหลัก Keyword ในหน้าเนื้อหา (On Page)และการสร้างกระแสทำ backlink  (Off Page)  ให้ลูกค้ามาหาเอง ที่เรียก Organic Search      
  2. SEM  Search Engine  Marketing  ซึ่งก็คือการใช้เงินซื้อ ให้คนเข้ามาใน หน้าเนื้อหาที่เราต้องการ ไม่ว่าเป็นหน้า ผลิตภัณฑ์  โปรโมชั่น  หน้าขายของ  วิดีโอ   FB     ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา  Adwords   FB/IG Ad   Youtube Ad   


SEO ที่นักการตลาดเห็นว่าได้ผล



การทำเว็บให้ติดอันดับที่เรียก SEO นักการตลาดเห็นว่าตัวที่ได้ผลดีที่สุด 72% นักการตลาดเห็นว่าได้ผลที่สุด คือ การหา Content ที่ตรงประเด็นในหน้าเว็บ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำยากอันดับสอง ไม่ใช่ว่าจะหาคนเขียนเนื้อหาดีและเข้าตา กรรมการ อย่างกูเกิ้ล ได้ง่ายๆ  รองมาคือการหาคำหลักหรือข้อความที่ตรงกับคำค้นหาที่ลูกค้าต้องการ 48%แต่ความยากเพียง 20% ที่นักการตลาดเห็นว่ายุ่งยาก ตัวที่ได้ตามมาคือ การอัพเดทเว็บบ่อยๆและการสร้าง ลิงค์ที่ตรงประเด็นทั้งในเว็บเองและ backlink กลับมาหน้าเว็บตนเอง แต่ตัวสร้างลิงค์นี้จะมีความยุ่งยากมากที่สุดในสายตานักการตลาด 52% เพราะว่ามันต้องพึ่งคนนอก เช่น หา backlink และ blogger / net idol มาช่วยเมนท์และสร้างลิงค์กลับมา (เครดิต ข้อมูลจาก eMarketer.com)

SEM  การใช้เม็ดเงินของนักการตลาด 





ใช้เงินการตลาดลงที่ไหนดี สำหรับนักการตลาดOnline Marketer โดยเฉพาะ SEM  ที่ต้องใช้เม็ดเงินโฆษณาดึงลูกค้าเข้ามาหาที่เรียก Inbound  Marketing นั้น  พบว่า    Text Ad ที่ลงเช่น Adwords มีความสำคัญมากที่สุด รองมาคือ Remarketing  AD หรือโฆษณาไปยัง คนที่เคยเข้ามาในเว็บไซด์เรา web visitor อันดับสามคือ โฆษณาในมือถือ  Mobile Ad  อันดับสี่คือ Display Ad ซึ่งรวมถึง GDN อันดับห้า ใช้ Shopping พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นช่องทางสื่อสาร อันดับหก ถึงจะเป็นสื่อสังคมออน์ไลน์ Social Network (แหล่งข้อมูล Hanapin Marketing และ eMarketer)


Search Marketing Trend





The New Search Marketing บอกว่าในอนาคตKeywords คำหลักค้นหา และ SEO กำลังจะไร้ความหมายจากนี้ ไป 2ปี นึกในใจว่าปรับไม่ทันกูตกงานแน่ๆ ตัวการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ แปรงทิ่มเหงือก คือ
1.Mobile Search จะค้นผ่าน Mobile Apps 84% ค้นคำหลักผ่าน Mobile Browser เพียง 16% อีกนัยหนึ่งคือคนดูมือถือ ชอบใช้ แอฟ มากว่า เข้าดูเว็บ เขาค้นชื่อ Apps ไม่ใช่ โดย Keywords  เช่นเดียวกันกับการค้นหาในรถยนต์  หาของเราไม่มีปรากฏในแผนที่ หน้าจอของ GPS  Navigator   หรือแผนที่  Google Map ก็จะทำให้เราเสียโอกาส  ไม่ว่าเราจะเป็น ร้านอาหาร  สถานนีบริการน้ำมัน   หน้าร้าน   ที่ต้องระบุพิกัด  Location ไว้ก่อน
2. Social Search คนใช้ Search ในสื่อสังคมออน์ไลน์ ผ่าน Hashtag # ในช่องแว่นขยายนั้นแหละ เพื่อไปหาเรื่องที่ต้องการ แต่มันเป็น content ใน สื่อสังคมออน์ไลน์ ไม่ว่าค้นจาก Facebook  Twitter  
3. Voice Search ทำให้ใช้  keywords น้อยลง เช่นคุยสั่งว่า หิว มันก็จะหาร้านอาหาร ใกล้ๆตำแหน่งที่คุณอยู่ โดยดูจากประวัติการ ค้นหาและคลิกในอดีตของคุณว่าคุณสนใจร้านอาหารสไตล์ไหน ประเภทไหน ซึ่งผลการค้นหาโชว์ จะขึ้นกับพฤติกรรมในอดีตคุณ ตำแหน่งLocationที่คุณอยู่ เวลาที่คุณค้นหา เช่น ค้นตอนค่ำ มันก็จะรู้ว่าร้านอาหาร หรือบริการปิดไปแล้วก็จะไม่โชว์  มันจะโชว์ผลธุรกิจในการค้นหาเฉพาะเวลาเปิดทำการเท่านั้น    ในผลลัพธ์ที่ออกมา Search Engine Result Page -SERP  การทำContext Marketing จะมีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เวลาค้นหา   Deviceเครื่องมือที่ใช้ค้นหา   ประวัติการค้นหาในอดีต  

Marketing 4.0 > Mobile Marketing

 การตลาด 4.0 > ยุคการตลาดที่มือถือแซงหน้า เครื่องมืออื่นๆ



เป็นการตลาดที่มือถืออยู่ติดตัว  และเป็นสื่อส่วนตัว ที่นักการตลาดสามารถเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็น M commerce   การค้นหาบนมือถือ  หรือ  Location Based Marketing     รวมถึง วิดีโอบนมือถือ  ที่มาไม่ว่าผ่าน Facebook live  หรือ สื่ออื่นๆ เช่น Bigo Live      Line Marketing   ซึ่งจะพบ ทิศทางเดียวกันหมด รวมถึง การจัดลำดับ ของกูเกิ้ลที่ผนวกเอาความเป็น  Mobile Friendly  ตัวหนังสื่ออ่านได้ ไม่เล็กเกิน ภาพใหญ่พอเหมาะ  การโหลดไม่นานบนมือถือ    และเป็นเว็บแบบ Responsive ย่อหน้าจอตาม Device

ตลาด M commerce หรือการซื้อขาย บนมือถือ ซึ่งแน่นอนเป็น c2c มีมูลค่ากว่า 5แสนล้านเหรียญ สรอ. และแซง Ecommerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ข้อมูลจาก emarketer


มีการคาดว่า โฆษณาบนมือถือในสหรัฐจะแซงหน้าโฆษณาบน Desktopในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี 2018 และ Format ของโฆษณา จะเป็นแม่น้ำสี่สาย ของแท้ แหมพูดเป็นคอการเมืองไปได้ คือ
1. โฆษณาผ่าน Searchคือซื้อโฆษณาโดยเจาะจงคำหลักค้นหา ในการซื้อ 2.Display Ad แน่นอนตัวพ่อยังเป็น GDN Google Display Network ที่จะไปปรากฎเป็นแบนเนอร์ ไม่มีโปรตีน ในเว็บพันธมิตรเครือข่ายพี่กู
3.Social Ad โฆษณาในสื่อสังคมออน์ไลน์ ตัวแม่คือ Facebook ที่มีเครื่องมือล้ำหน้าไปไกลเกินกูเกิ้ลหลายขุม ทั้ง Custom Audience Local Retargeting Lookalike และ
4.แม่น้ำสายสี่ที่มาแรงแซงทางโค้งคือ โฆษณาบนวิดีโอ  Video Ad ที่กูเกิ้ลยังนำโด่งอยู่ แม้ FB พยายามจะให้มี โพสต์วิดีโอบนหน้าบ้านและโฆษณาไปยังลูกค้าเป้าหมายได้ แต่ก็ไม่รู้โฆษณาไปหาสรรค์อะไรหากไม่ไปปลายทางที่ Landing page เว็บไซด์ หรือ มีการเก็บรายชื่อ lead คนสนใจผลิตภัณฑ์ ซึ่งโฆษณาlead ad ของ FB ก็ยังไม่ได้เชื่อมโยงกับ วิดีโอ และการใช้ค่อนข้างยุ่งยากจึงยังไม่ตอบโจทย์




จากกราฟข้อมูลของ emarketer จะเห็นน้ำหนักมันกำลังจะมาเท่าๆกันคือสายละ 25% นี่แหละแม่น้ำสี่สายของแท้ แต่ผู้บริหารหลายตนก็ยังไม่เข้าใจ ว่า โฆษณาแค่สร้างภาพให้คนรู้จักมันหมดยุค หรือตกยุคไปแล้ว ขณะที่คนเห็นทีวี เขาค้นเน็ต คำหลัก ชื่อแบรนด์ในเน็ตทันที แต่ถ้าไม่เจอะโฆษณาออน์ไลน์ หรืออยู่หน้าแรก หรือค้น Fb Searchไม่เจอะ ผมบอกเลยว่า โฆษณาสร้างภาพเป็นต้นทางหากมันไม่สามารถนำ ลูกค้าเป้าหมาย เคลื่อนไปตาม Customer Journey หรือเส้นทางเดินทางลูกค้าได้ จาก รู้จัก>ค้นหา>สนใจ เปรียบเทียบ>ติดตาม>ตัดสินใจซื้อ>Review&Share>รับบริการ หนทางมันยาวไกลที่เราต้องสร้างสัมพันธ์ CRM  Customer Relatioship Management ตลอดเส้นทางเดินทางของลูกค้า หากผู้บริหารยังติดกับการสร้างภาพ ใช้เงินทำหน้าบ้านให้ดูดี แต่ไม่สนใจหลังบ้าน คือ ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากคนรู้จักให้มาสนใจ และแสดงตนเข้ามาในฐานข้อมูลหรือระบบติดตามของเรา และเปลี่ยนหล่อหลอม คนสนใจให้กลายเป็นลูกค้า จากลูกค้ากลายมาเป็นแฟน ที่คอยเอาใจช่วยแบรนด์ เชียร์แบรนด์ ก็เท่ากับหลังบ้านท่านรั่ว จะทำหน้าบ้านดีสวยเท่าไร หลังบ้านรั่วก็คงหมดท่า ภาพพจน์ดีเท่าใด แต่ตรวจวัดไม่ได้เลยว่า มี คนรู้จักมาสนใจกี่ราย คนสนใจกลายมาเป็นลูกค้ากี่ราย และ ลูกค้ากลายมาเป็นแฟนกี่ราย และแฟนที่ช่วยเป็นกองเชียร์กี่ราย แล้วจะมาบ่นว่าลูกค้าหายไปไหน ไปแจ้งความสิครับ

Marketing 4.0 > Digital Marketing Management

การตลาด 4.0 > ทักษะทางดิจิตอล มีผลต่อความสามารถธุรกิจ



ทักษะการใช้ การตลาด Digital ทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบ 2.5 เท่าของธุรกิจ ล้าหลัง

Mc Kinsey บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก พูดเรื่องกฎของการอยู่รอดของธุรกิจตามหลักของดาวิน แกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ธุรกิจมีปัญหาแน่หากธุรกิจไม่ปรับตัวเข้าหาDigital Trend ทั้งนี้พบว่าลูกค้าหันมาใช้จุดสัมผัสกับแบรนด์ Brand touchpoints หรือช่องทางการติดต่อกับแบรนด์โดย ผ่านช่องทางดิจิตอลมากขึ้นกว่า20% และพบว่าลูกค้าใช้เครื่องมือทางdigitalในขั้นตอนการรับรู้ Awareness นั้น 40%ของลูกค้าทั้งหมด และ 40%จะใช้เครื่องมือสื่อสารทางดิจิตอลในขั้นตอนเปรียบเทียบเลือกว่าจะเอาแบรนด์ใดดี และ 20% จะซื้อของผ่านเครื่องมือ Digital และพบว่าแบรนด์ที่มีขีดความสามารถทางดิจิตอลจะ มีความสามารถในการขับเคลื่อนลูกค้า2.5 เท่าของแบรนด์ที่ห่วยแตกด้านเครื่องมือดิจิตอล โดยวัดที่ ความสามารถในการสร้างการรับรู้แบรนด์ การให้ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า โดยให้บริการผ่านเครื่องมือดิจิตอล นำข้อแนะนำร้องเรียนของลูกค้าทางดิจิตอลมาปรับปรุงการให้บริการ โอ้บริษัทที่เก่งทางดิจิตอลมันได้เปรียบบริษัทที่ล้าหลังอย่างนี้เองเนอะ ดังภาพ แกนนอนเป็นการใช้ดิจิตอลในแต่ละจุดสัมผัสระหว่างแบรนด์กับลูกค้าว่าบริษัทนั้นเก่งแค่ไหน แกนตั้งเป็นความน่าจะเป็นที่แบรนด์ถูกเลือกหรือครองใจลูกค้าได้จนกระทั่งเลือกซื้อแบรนด์นั้น จากกราฟจะเห็นความสัมพันธ์กันชัดเจน แต่บ่อยครั้งผมได้ยินคนมาพูดกับผมว่าอาจารย์พูดเรื่องอะไรมันแอดวานเกินไปสำหรับเรา เรามาพูดเรื่องสร้างแบรนด์ ด้วยโลโก้ สีสัน สโลแกน แล้วก็หากลุ่มเป้าหมาย หาช่องว่างตลาด และหาตำแหน่งครองใจลูกค้าและก็กลยุทธ์ 4Ps ตลาดBlueocean ที่ไม่มีการแข่งขัน ผมเข้าใจง่ายดี โถนอนอยู่ที่บ้านซิครับ ไม่ต้องออกไปแข่งขัน ไม่ต้องเจอะ Red Ocean


Match Customer Journey กับ  Digital Brand Touchpoints

คราวนี้มาดูกันว่าลูกค้ากว่าจะถูกขับเคลื่อนไปตามเส้นทางเดินทางของลูกค้าจากรู้จัก เป็นสนใจ ค้นหาเปรียบเทียบ ตัดสินใจซื้อและ กลายมาเป็นแฟนพันธุ์แท้ และมาช่วยเชียร์แบรนด์นั้น มีดัง ภาพ ด้านล่าง การทำให้คนรู้จักผ่านสื่อโฆษณาและเครื่องมือทางการตลาดทั้ง Online Offline โดย เราจะต้องยิงข้อความ ข่าวสาร Contentไปยังกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือ ทางการตลาดที่ ถือว่า Advance มากๆทั้ง Custom Audience และ Lookalike ของ Facebook หรือ Customer Match และ Similar Audience ของกูเกิ้ล เมื่อลูกค้าเห็นสนใจ ค้นหา เปรียบเทียบ เครื่องมือที่เราจะต้องใช้ต่อไป คือเราต้องหาว่าลูกค้าค้นคำใดเมื่อมีความต้องการ  ทั้งผ่าน กูเกิ้ล  Facebook   Youtube  และสื่อสังคมออน์ไลน์
เมื่อลูกค้ามาในสื่อส่วนตัวของแบรนด์  เราจะหล่อหลอมลูกค้าด้วยอะไร  หรือสื่อที่ คนวิพากษณ์  ทั้ง Blogger   Review  ต่างๆรวมถึง Customer  reviews   จนลูกค้าเดินมาหน้าร้าน ที่ต้องมีสื่อ มือถือ  Location Based และสื่อ Interactive AR  VR  ที่ดึงลูกค้ามาเข้าระบบ   สุดท้ายคือการทำการติดตามลูกค้าและสร้างสัมพันธ์ ผ่านสื่อ มือถือ และสื่อ  สังคมออนไลน์




ผู้บริหารส่วนใหญ่ยังล้าหลังด้านดิจิตอล


เห็นแล้วเพลีย  Change Management  CEOใน Fortune500 ที่ถือว่าเป็นบริษัท Topชั้นนำของอเมริกา ใช้ Social Media น้อย พบว่า61%CEO ไม่มี Social Media ของตนเอง เลย แลคนที่มีนั้นแต่ละคนที่มีก็จะมีเพียง Platform เดียว บางมี FB บางมีแค่ LinkedIn โดดๆ และในจำนวนนี้ มีLinkedIn161คน FB 57คน Twitter 50คน นี่แสดงว่า CEO บริษัทใหญ่ยังคงปรับตัวช้าและมี Gap ในการเข้าใจเรื่อง Online Social Network น้อยอยู่ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่  การ Update ผู้บริหารโดยเฉพาะไม่ให้ห่างเหินกับลูกน้องที่เป็น Generation ที่คุ้นเคยกับ เน็ต และสื่อสังคมออน์ไลน์ ทั้งนี้ก็ขึ้นกับ เขาเหล่านั้นว่าจะ Adapt to change

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

Marketing 4.0 > CRM4.0

การตลาด 4.0 >  CRM4.0

ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่ชอบต่อรอง



หนีไม่พ้น ยุคลูกค้าต่อรอง ในยุคนี้ ใครๆก็รู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าแสวงหาส่วนลด โปรโมชั่น ไม่ลดไม่มีไม่ซื้อ ทำให้นักการตลาด และเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องลดราคา ถึงให้ฟรีก็มี แล้วก็โฆษณาลดแลกแจกแถม แต่การทำเช่นนี้หลายค่ายให้นิยามว่า Nobrain Marketing หรือการตลาดไร้สมอง ฟังดูค่อนข้างรุนแรง แต่ไม่ใช่ศัพท์ที่ผมบัญญัติขึ้นเองแน่นอน จากผลการตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อลูกค้าของบริษัท Agilone นั้น พบว่า ค่าเฉลี่ยของห้างฯที่ลดราคาให้ลูกค้าตกอยู่ราวๆ 36% แต่หลายๆห้างฯได้พัฒนาการให้ส่วนลดกับลูกค้าแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เช่นลูกค้าบางกลุ่มไม่ต้องลดก็ซื้อ บางกลุ่มลดไม่เยอะก็ซื้อ กลุ่มใหญ่ลดถึงจะซื้อ ปรากฎว่าห้างฯสามารถลดต้นทุนที่สูญเสียไปกับค่าส่วนลดลูกค้าจาก 36% เหลือ 27% อยู่ดีๆก็มีกำไรเพิ่มขึ้นมา 8% เพียงแค่แยกแยะว่า จะให้ส่วนลดเท่าไรกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม แตกต่างกัน และนี่คือสิ่งที่ค้นพบที่น่านำไปใช้กับธุรกิจของเรา พบว่า 
  1. 20% ลูกค้าเป็นพวกแม่บ้านสมองไวไม่ลดไม่ซื้อ อยู่ฐานพีรามิด เรียก Discount Hunterพวกนี้ไม่ยึดติดแบรนด์ใดๆดังนั้นนานๆจะซื้อครั้งเวียนแบรนด์ซื้อ
  2.  แต่อีก 65% เป็นพวกซื้อแบรนด์ประจำตัวบางครั้งบางคราว กลุ่มนี้ แยกเป็นกลุ่มที่ตั้งใจซื้อแบรนด์เราอยู่แล้วเช่นอาจจะพอใจกับแบรนด์เรามาก่อนแค่สื่อสารย้ำเตือนให้ตรงประเด็นสะกิดต่อมเฮก็ซื้อแล้วกล่าวคือสื่อสารให้ตรงประเด็นกับความต้องการเขา    แต่กลุ่มที่เฉยเมยกับแบรนด์เราอันนี้ซิเรามีทางเลือกอยู่สองทางคือให้ส่วนลดที่มากพอจนเขาต้องซื้อ แต่ถ้าส่วนลดมากเกินตัวไปก็ยัวจะไม่ซื้ออยู่   อันนี้เราต้องหยุดเลยไม่ติดต่ออีกและทิ้งเลย 
  3. และ 15% บนยอดพีรามิดจะซื้อราคาปกติก็ซื้อแต่ถ้าเราดันไปลดก็คือลดราคาฟรีสูญเสียกำไรไปแบบบื้อๆ คราวก่อนให้่ส่วนลดกับลูกค้าแบบทั่วฟ้าเมืองไทย ต่อไปก็คิดให้ดีเสียก่อน ว่าควรแยกแยะการให้ส่วนลดแตกต่างกันกับลูกค้าค้าต่างกลุ่มกัน เพื่อจูงใจให้ซื้อ เราไม่ควรสูญเสียกำไรที่ไม่ควรเสียนะ กลุ่มยอดพีรามิดนี่แหละที่ทำให้นักการตลาดเสียค่าโง่  มาลดให้กูทำไมอย่างไรกูก็ซื้อ  หรือมาให้กูผ่อน 0% ทำไม อย่างไงกูก็ซื้อ  แต่เอาว่ะ มา Offer ขนาดนี้ ก็ต้องเอาไม่ให้เสีย 



CRM4.0  หัวใจคือ  Contact  Strategy



Promotionในธุรกิจที่มีลูกค้าซื้อซ้ำ การทำ CRM เพื่อให้ได้ ROI หรือมีผลตอบแทนดีๆ นั้น เราต้องแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มๆ คือกลุ่มที่ลดน้อยๆก็ซื้อแล้ว5-10% กลุ่มที่ลดปานกลางก็ซื้อ20-30% กลุ่มที่ต้องลดให้ถึงขนาด 50%-70% หรือ Oneprice น้ำสุดท้ายขายไม่ได้กูเลิกเทกระจาดอะไรปะมาณนั้น ในขณะที่ลูกค้าเราก็มีกลุ่ม ฮารท์คอ Hard Core  และ Active คือยังซื้อเราอยู่ และก็มีกลุ่มลูกค้าใหม่ และก็กลุ่มลูกค้าก้อนใหญ่ที่ไม่หือไม่อือ เรียกว่าMain Stream หรือ กูเฉย ซี่งเวลาเราสื่อสารไปก็อ่านก็ดูแต่ก็ไม่ตอบสนองอะไร แล้วก็กลุ่ม เด็กปัมป์ง่วงนอน ติดต่ออะไรไปก็ไม่อ่านไม่ดูไม่สนคำถามคือเราจะติดต่อใครเมื่อไร




1.Weekly กลุ่มแรก พวกคอแท้Hard Core  และ Active เรามักจะมีการติดต่อข่าวสารบ่อย เช่นรายสัปดาห์ เรื่อง ความรู้สินค้า สินค้าใหม่ กิจกรรม CRM แนะนำการใช้สินค้า หรือสินค้าใช้ร่วมกัน
2.Monthly ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่อย่าเพิ่งติดต่อถี่เกินไปจนเขาตกใจกระโดดหนี เพียงแค่ Welcome แนะนำการใช้งาน การรับประกันพอแล้ว การติดต่อจะเป็นรอบเดือนหรือรอบการซื้อเช่นของที่ใช้ไปใกล้หมดแล้ว กำลังจะต้องซื้อใหม่ กับกลุ่มกูเฉย Main Stream ไม่ต้องติดต่อบ่อยๆจะติดต่อกรณีมีโปรโมชั่นเท่านั้น พวกนี้จะอ่านอีเมล์ และข่าวสารที่เราส่งไป ทาง line@
3.รอบ Season หรือต้องการโละของ จัดรายการ เช่น End Of Season หรือ ของเหลืออายุน้อยลง หรือใกล้วันหมดอายุ เราจะติดต่อกลุ่ม จะติดต่อกลุ่ม ที่ไม่เคยเปิดอ่านอีเมล์ หรือตอบสนองต่อ กิจกรรมออน์ไลน์เราเลย ไม่ว่าจะ Look Like Love Share Comment เราจะติดต่อเขานานๆครั้ง ด้วยกิจกรรมโปรโมชั่นพิเศษเท่านั้น
นักการตลาดคอยควบคุม จำนวนครั้งความถี่และปริมาณที่ติดต่อ ประเภทข่าวสารที่ส่งไปหาแต่ละกลุ่ม ความรุนแรงของโปรโมชั่นที่ให้แต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เพราะนั้นหมายถึงงบทางการตลาดที่ต้องทุ่มเทลงไปเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ทั้งค่าติดต่อสื่อสาร ค่าส่วนลดแลกแจกแถม ลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อ มีมูลค่าหัวสูงจะได้รับการติดต่อบ่อยๆ  ลูกค้าที่นานๆซื้อ  มูลค่าหัวต่ำจะได้รับการติดต่อน้อย

hostgator coupon